วันนี้ได้อ่าน The flatmate ใน BBC ซึ่งเป็นตอนที่เกี่ยวกับกาแฟ แล้วก็มีศัพท์ที่เราคุ้นหูมานาน เช่น espresso, latte, cappuccino ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นนาน เนื่องจากไม่ได้เป็นคนกินกาแฟอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็เป็นทีมาในการตามหาคำตอบ แม้ว่าจะไม่ค่อยเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเท่าไร แต่เนื่องจากกาแฟเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว อันทำให้คนเป็นเจ้าของธุรกิจคนไทยหลายคนได้ร่ำรวยไปตามๆ กัน ดังนั้นถ้าเราจะคุยกับฝรั่งสักคนเกี่ยวกับเรื่องกาแฟ ถ้าเราพอมีความรู้บ้าง ก็จะช่วยให้การคุยสนุกขึ้นนะค่ะ
เรื่องแรก ก็ต้องทำความรู้จัก espresso กันก่อน เพราะว่าเป็นตัวตั้งต้นของเมนูกาแฟอื่นๆ เลย espresso เกิดขึ้นครั้งแรกที่ อิตาลี ค่ะโดยเป็นการชงกาแฟ จากเมล็ดกาแฟที่คั่วมาเป็นอย่างดี กับน้ำร้อน ภายใต้ความดัน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นการใช้แรงดันไอน้ำผ่านไปที่เมล็ดกาแฟ เพื่อให้ได้ espresso ออกมาเป็นหยดๆ อย่างที่เราเห็นในเครื่องทำกาแฟ ซึ่งคนที่คิดเครื่องทำกาแฟแบบนี้ก็คือคนอิตาลี Luigi Bezzera กาแฟ espresso ที่ได้จากเครื่องชงกาแฟ เค้าจะนับกันเป็น shot ก็คือเป็นแก้วเล็กๆ ที่เค้าไว้ใส่กาแฟนั่นเอง 1 shot จะเท่ากับ 1 ounce หรือ 30 มิลลิลิตร ที่ต้องเป็นแก้วเล็กก็เพราะกาแฟที่ได้จากวิธีนี้จะเป็นกาแฟที่มีความเข้มข้นสูง และก็มีคาเฟอีนสูงด้วย กินแค่แก้วเล็กๆ นี่ก็คงตาค้างไปหลายชั่วโมง และ espresso นี่เองที่เค้าใช้เป็นพื้นฐานในการทำกาแฟอื่นๆ ต่อไป
latte มาจากภาษาอิตาลี caffelatte ซึ่งแปลว่า กาแฟกับนม latte เป็นการนำกาแฟ espresso ใส่เข้าไปในแก้วที่มีนมร้อนๆ อยู่ โดยมีสัดส่วนของ espresso 1/3 และ นม 2/3 หลังจากนั้นก็เติมฟองนมด้านบนประมาณ 5 มิลลิเมตร หรือประมาณ 1/4 นิ้ว ส่วน cappucino ก็คล้ายๆ กับ latte แต่ต่างกันกันที่ cappucino จะใส่ฟองนมที่หนากว่า ซึ่งตามใน wikipedia อ้างว่าหนาประมาณ 2 เซนติเมตร หรือประมาณ 3/4 นิ้ว ซึ่งไอ้ฟองนมหนาๆ นี่เองที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับ cappucino และ barista ก็จะใช้ฟองนมในใช้สร้างรูปภาพต่างๆ ในอิตาลีเองมีการทำ cappuccino เวอร์ชั่นเย็นด้วย เรียกว่า Cappucino Freddo ซึ่งจะใส่ฟองนมเพียงเล็กน้อย แต่ว่าไม่ใส่น้ำแข็ง แต่หลังจากแพร่หลายออกไป iced cappucino ที่ไม่มีฟองน้ำก็ถูกเรียกแตกต่างกันไป เช่นที่ Starbucks จะเรียกว่า iced latte (ความเห็นผู้เขียน: อาจจะเนื่องจากไม่มีฟองนมอันเป็นเอกลักษณ์ของ cappucino ละมั้งทำให้คนไม่เรียกกัน)
เมนูถัดมาก็คือ caffe macchiato คำว่า Macchiato แปลว่า stained (ทำให้เปื้อน เปรอะ) ซึ่งหมายถึง espresso ที่ใส่นมเพียงนิดเดียว แต่ต่อมามีการใส่ฟองนมลงไปด้วยนิดหน่อย เนื่องจาก barista ต้องการให้พนักงานเสริฟไม่สับสนระหว่าง espresso และ Caffe machiato และเป็นที่มาที่ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่า Macchiato แปลว่า ฟอง และต่อมาได้นำมาใช้ในเมนู latte macchiato ซึ่งหมายถึง นมที่ใส่ espresso นิดเดียว หรือประมาณ 1/2 shot ใน Starbucks ก็จะมีเมนู caramel macchiato ซึ่งเป็นการเอา vanilla-flavored syrup (น้ำเชื่อมรสวนิลา) ผสมกับนม และเติม espresso ลงไป และเติมด้วย caramel อีกที (caramel เป็นการใช้น้ำตาลละลายกับเนย และนม จะเป็นสีน้ำตาลไหม้)
เมนูสุดท้ายฮับ cafe mocha เมนูนี้น่าจะเป็นเมนูคุ้นเคยของใครหลายคน mocha ก็คือ latte นะเอง คือ espresso 1/3 นม 2/3 แต่ว่าจะใส่ chocolate ลงไปด้วย ซึ่งอาจจะเป็น ผงช็อคโกแลต หรือว่าเป็นน้ำ ก็แล้วแต่สูตร ซึ่งบางทีก็ใส่ ฟองนมข้างบน หรือบางทีก็อาจจะใส่ whipped cream (whip แปลว่า หวด หรือตวัด เป็นการตีครีมอย่างแรงเพื่อให้เกินเป็นฟองอากาศข้างใน)
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเมนูกาแฟที่คนรู้จักทั่วไป อาจจะไม่ได้ความรู้ภาษาอังกฤษเท่าไร แต่สำหรับคนที่ไปเมืองนอกแล้ว อาจจะช่วยให้การสั่งกาแฟง่ายขึ้นบ้างนะค่ะ
Reference:
Coffee vocabulary
Espresso - Wikipedia
Latte - Wikipedia
Cappucino - Wikipedia
Cafe macchiato - Wikipedia
Latte macchiato - Wikipedia
Cafe mocha - Wikipedia
Adjective: Order
ลำดับการใส่ adjective เข้าไปข้างหน้า noun เป็นดังนี้
size, age, shape, colour, origin, material
เช่น
a petite, white, French, linen jacket
จริงๆ ไม่ได้เป็นกฎ grammar ตายตัว แต่เรียกว่าเป็นความนิยมมากกว่ามั้ง
Reference:
Adjective order
size, age, shape, colour, origin, material
เช่น
a petite, white, French, linen jacket
จริงๆ ไม่ได้เป็นกฎ grammar ตายตัว แต่เรียกว่าเป็นความนิยมมากกว่ามั้ง
Reference:
Adjective order
Tense (ตอนที่ 7): Past Continuous
ไม่ได้เขียนซะนาน ด้วยการเปลี่ยนแปลงในชีวิตรุมเร้า ต่อละนะ
Form: was, were + Ving
การใช้
1. Interrupted Action ในอดีต
เช่น
I was watching TV when she called. While I was writing the email, the computer suddenly went off.
ประโยคประเภทนี้มักมี when หรือ while อยู่ในประโยค แต่ความแตกต่างในการใช้ก็คือ
when + past simple
while + past continous
นอกจากนี้ อาจจะใช้ในบทสนทนา ซึ่งไม่เป็น compound sentences เนื่องจากผู้ฟังเข้าใจประโยคที่ถูกละไว้แล้ว
A: What were you doing when you broke your leg?
B: I was snowboarding. (when I broke my leg - ถูกละไว้)
2. Interruption เหมือนกัน แต่เป็นการระบุเวลา
เช่น
Last night at 6 PM, I was eating dinner.
ความแตกต่างระหว่างการใช้ past continuous กับ past simple ในกรณี เช่น
Last night at 6 PM, I ate dinner. - เริ่มกินข้าวตอน 6 โมง
Last night at 6 PM, I was eating dinner. - กำลังกินข้าวอยู่ ไ่ม่รู้ว่าเริ่มกินเมื่อไร
3. Parallel Action ในอดีต
การใช้ลักษณะนี้ก็จะคล้ายๆ กับแบบแรก เพียงแต่ว่าไม่มี action ไหน interrupt action ไหน แต่ว่าดำเนินไปพร้อมๆ กัน
เช่น
I was studying while he was making dinner.
What were you doing while you were waiting?
หรือลองเข้าไปดูตาม reference ด้านล่างนะค่ะ จะมีรูปให้ด้วย เผื่อจะเข้าใจได้มากขึ้น
4. Repeated Action + Irritation ในอดีต
อันนี้ไม่ค่อยเคยเห็นเหมือนกันค่ะ น่าจะคล้ายๆ กับ Past Simple และ used to แต่ต่างกันที่จะมีความหมายในเชิงลบ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความรำคาญ ซึ่งมักจะใช้กับ always, constantly
เช่น
She was always coming to class late.
He was constantly talking. He annoyed everyone.
Reference:
ENGLIST PAGE - Past Continuous
Form: was, were + Ving
การใช้
1. Interrupted Action ในอดีต
เช่น
I was watching TV when she called. While I was writing the email, the computer suddenly went off.
ประโยคประเภทนี้มักมี when หรือ while อยู่ในประโยค แต่ความแตกต่างในการใช้ก็คือ
when + past simple
while + past continous
นอกจากนี้ อาจจะใช้ในบทสนทนา ซึ่งไม่เป็น compound sentences เนื่องจากผู้ฟังเข้าใจประโยคที่ถูกละไว้แล้ว
A: What were you doing when you broke your leg?
B: I was snowboarding. (when I broke my leg - ถูกละไว้)
2. Interruption เหมือนกัน แต่เป็นการระบุเวลา
เช่น
Last night at 6 PM, I was eating dinner.
ความแตกต่างระหว่างการใช้ past continuous กับ past simple ในกรณี เช่น
Last night at 6 PM, I ate dinner. - เริ่มกินข้าวตอน 6 โมง
Last night at 6 PM, I was eating dinner. - กำลังกินข้าวอยู่ ไ่ม่รู้ว่าเริ่มกินเมื่อไร
3. Parallel Action ในอดีต
การใช้ลักษณะนี้ก็จะคล้ายๆ กับแบบแรก เพียงแต่ว่าไม่มี action ไหน interrupt action ไหน แต่ว่าดำเนินไปพร้อมๆ กัน
เช่น
I was studying while he was making dinner.
What were you doing while you were waiting?
หรือลองเข้าไปดูตาม reference ด้านล่างนะค่ะ จะมีรูปให้ด้วย เผื่อจะเข้าใจได้มากขึ้น
4. Repeated Action + Irritation ในอดีต
อันนี้ไม่ค่อยเคยเห็นเหมือนกันค่ะ น่าจะคล้ายๆ กับ Past Simple และ used to แต่ต่างกันที่จะมีความหมายในเชิงลบ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความรำคาญ ซึ่งมักจะใช้กับ always, constantly
เช่น
She was always coming to class late.
He was constantly talking. He annoyed everyone.
Reference:
ENGLIST PAGE - Past Continuous
Verb: Verb + Verb
เคยเขียนถึงเรื่อง Linking Verb ไปแล้วตอนหนึ่งนะค่ะ ซึ่ง Linking Verb เป็น verb ที่สามารถตามด้วย adjective ได้ ตอนนี้เราจะมาพูด verb อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งสามารถตามด้วย verb form อื่นๆ ได้ เช่น Ving, V infinitive with/without to.
โดยปกติในประโยคหนึ่งๆ จะมี verb แท้ได้แค่ 1 ตัวเท่านั้น verb ตัวที่ตามมา จึงต้องเป็น verb ในรูปอื่นๆ ซึ่ง verb ตัวไหนจะต้องตามด้วย verb รูปแบบไหนนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ค่ะ (หรือเท่าที่เรารู้ ไม่มีนะ อาจจะมีที่ไม่รู้ เหอะๆ) ต้องจำเอาอย่างเดียว แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ
Without object
1. Verb + Ving
ได้แก่ admit, avoid, consider, deny, fancy, finish, hate, imagine, mind, love, postpone, regret, risk, stop, suggest
หรือ phrasal verb ได้แก่ carry on, give up, go on, keep on, put off
ตัวอย่าง
The children admitted taking the sweets.
I considered becoming a singer when I left school.
Do you fancy going to see a movie tonight?
Would you mind opening the window? It's rather hot in here.
He suggested eating out, but I had already prepared dinner at home.
The children carried on playing even though it had started to rain.
I gave up smoking 3 years ago.
The teacher went on talking even though some of the students weren't listening.
Why do you keep on eating fatty food when you know it's bad for you?
2. Verb + Verb Infinitive with to
ซึ่ง verb ทั่วไปจะอยู่ในกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ คือถ้าไม่เข้ากับกลุ่มแรก ก็เดาเป็นเลาๆ ได้ว่าน่าจะเป็นกลุ่มนี้แล
และเป็น verb บางตัวที่สามารถใช้ได้กับทั้ง 2 แบบ แต่ว่าจะใช้ึความหมายต่างกัน
ได้แ่ก่ remember, forget, stop
เช่น
They stopped to talk - แปลว่าหยุดทำอย่างอื่น เพื่อที่จะหันมาคุย
They stopped talking - แปลว่าหยุดพูด
I didn't remember to email - แปลว่าลืม email (ไม่ได้ส่ง email)
I don't remember emailing to you - แปลว่า ลืมไปแล้วว่าได้ส่ง email ไปหาหรือเปล่า (อาจจะส่งหรือไม่ได้ส่งก็ได้)
I remember telling her about the bowling - แปลว่า จำได้่ว่ามีการบอกเธอเกี่ยวกับ bowling (บอกไปแล้ว)
I remember to tell her about the bowling - แปลว่า จะจำไว้ว่าจะต้องบอกเธอ (ยังไม่ได้บอก)
I try using a heavier bowling ball - แปลว่า จะลองใช้ลูก bowling ที่หนักขึ้น
I try to use use heavier bowling, but it was too heavy. - แปลว่า พยายามจะใช้ลูก bowling ที่หนักขึ้นแล้ว แต่ว่ามันหนักไป (คือไม่ได้ใช้ลูกที่หนัก - เป็นการบอกความพยายามที่ล้มเหลว)
I've forgotten telling you that it's my birthday today - แปลว่า ฉันลืมไปแล้วว่าเคยบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิด (เป็นการลืมสิ่งที่เคยทำไปในอดีต)
I forgot to telephone the bank before I went on holiday - แปลว่า ลืมโทรไปหาธนาคาร ก่อนวันหยุด (แปลว่าไม่ได้โทร หรือไม่ได้ทำสิ่งนั้น)
I regret changing my job - แปลว่า เสียใจที่ได้เปลี่ยนงานมา (คือได้เปลี่ยนงานไปแล้ว - เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว)
I regret to tell you that you have not passed your exam - แปลว่า เสียใจที่จะบอกว่าคุณสอบตก (เสียใจกับสิ่งที่กำัลังจะทำ)
With object
และสำหรับ verb บางตัว เมื่อใช้กับ indirect object จะใช้ในรูปแบบ
1. Verb + object + Verb Infinitive without to
อันได้แก่ make, let, have
ตัวอย่าง
The teacher made us do our homework.
The teacher let us leave early.
สำหรับ verb ในลักษณะนี้ เมื่อใช้เป็น passive จะตามด้วย Verb Infinitive with to
เช่น
I was made to repeat the exercise.
อีกคำหนึ่งที่อาจจะสามารถ เข้ากับกลุ่นนี้ก็คือ help
help สามารถใช้แบบ help + Verb Infinitive with to ก็ได้ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่จะใช้แบบละ to มากกว่า โดยเฉพาะการใช้แบบ informal ดังนั้นจึงไม่ได้เขียนรวมไปกับ make และ let เพราะว่า make กับ let จะไม่สามารถใช้กับ Verb Infinitive with to ได้เลย
ตัวอย่าง
2. Verb + object + Verb Infinitive with to
ซึ่ง verb โดยทั่วไปจะเป็นกลุ่มนี้
Summary
โดยสรุปก็เป็นดังนี้
* คำในกลุ่มนี้สามารถใช้ได้ทั้ง Ving และ to verb แต่ความหมายต่างกัน
Note: สำหรับ verb ทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในตาราง ส่วนใหญ่จะใช้กับ to verb
Reference:
Make, let, allow
Verb + V-ing
Verb patterns: different meanings
โดยปกติในประโยคหนึ่งๆ จะมี verb แท้ได้แค่ 1 ตัวเท่านั้น verb ตัวที่ตามมา จึงต้องเป็น verb ในรูปอื่นๆ ซึ่ง verb ตัวไหนจะต้องตามด้วย verb รูปแบบไหนนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ค่ะ (หรือเท่าที่เรารู้ ไม่มีนะ อาจจะมีที่ไม่รู้ เหอะๆ) ต้องจำเอาอย่างเดียว แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ
Without object
1. Verb + Ving
ได้แก่ admit, avoid, consider, deny, fancy, finish, hate, imagine, mind, love, postpone, regret, risk, stop, suggest
หรือ phrasal verb ได้แก่ carry on, give up, go on, keep on, put off
ตัวอย่าง
The children admitted taking the sweets.
I considered becoming a singer when I left school.
Do you fancy going to see a movie tonight?
Would you mind opening the window? It's rather hot in here.
He suggested eating out, but I had already prepared dinner at home.
The children carried on playing even though it had started to rain.
I gave up smoking 3 years ago.
The teacher went on talking even though some of the students weren't listening.
Why do you keep on eating fatty food when you know it's bad for you?
2. Verb + Verb Infinitive with to
ซึ่ง verb ทั่วไปจะอยู่ในกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ คือถ้าไม่เข้ากับกลุ่มแรก ก็เดาเป็นเลาๆ ได้ว่าน่าจะเป็นกลุ่มนี้แล
และเป็น verb บางตัวที่สามารถใช้ได้กับทั้ง 2 แบบ แต่ว่าจะใช้ึความหมายต่างกัน
ได้แ่ก่ remember, forget, stop
เช่น
They stopped to talk - แปลว่าหยุดทำอย่างอื่น เพื่อที่จะหันมาคุย
They stopped talking - แปลว่าหยุดพูด
I didn't remember to email - แปลว่าลืม email (ไม่ได้ส่ง email)
I don't remember emailing to you - แปลว่า ลืมไปแล้วว่าได้ส่ง email ไปหาหรือเปล่า (อาจจะส่งหรือไม่ได้ส่งก็ได้)
I remember telling her about the bowling - แปลว่า จำได้่ว่ามีการบอกเธอเกี่ยวกับ bowling (บอกไปแล้ว)
I remember to tell her about the bowling - แปลว่า จะจำไว้ว่าจะต้องบอกเธอ (ยังไม่ได้บอก)
I try using a heavier bowling ball - แปลว่า จะลองใช้ลูก bowling ที่หนักขึ้น
I try to use use heavier bowling, but it was too heavy. - แปลว่า พยายามจะใช้ลูก bowling ที่หนักขึ้นแล้ว แต่ว่ามันหนักไป (คือไม่ได้ใช้ลูกที่หนัก - เป็นการบอกความพยายามที่ล้มเหลว)
I've forgotten telling you that it's my birthday today - แปลว่า ฉันลืมไปแล้วว่าเคยบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิด (เป็นการลืมสิ่งที่เคยทำไปในอดีต)
I forgot to telephone the bank before I went on holiday - แปลว่า ลืมโทรไปหาธนาคาร ก่อนวันหยุด (แปลว่าไม่ได้โทร หรือไม่ได้ทำสิ่งนั้น)
I regret changing my job - แปลว่า เสียใจที่ได้เปลี่ยนงานมา (คือได้เปลี่ยนงานไปแล้ว - เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว)
I regret to tell you that you have not passed your exam - แปลว่า เสียใจที่จะบอกว่าคุณสอบตก (เสียใจกับสิ่งที่กำัลังจะทำ)
With object
และสำหรับ verb บางตัว เมื่อใช้กับ indirect object จะใช้ในรูปแบบ
1. Verb + object + Verb Infinitive without to
อันได้แก่ make, let, have
ตัวอย่าง
The teacher made us do our homework.
The teacher let us leave early.
สำหรับ verb ในลักษณะนี้ เมื่อใช้เป็น passive จะตามด้วย Verb Infinitive with to
เช่น
I was made to repeat the exercise.
อีกคำหนึ่งที่อาจจะสามารถ เข้ากับกลุ่นนี้ก็คือ help
Come and help me life this box.
This charity aims to help people (to) help themselves.
2. Verb + object + Verb Infinitive with to
ซึ่ง verb โดยทั่วไปจะเป็นกลุ่มนี้
Summary
โดยสรุปก็เป็นดังนี้
V + V | V + Ving | |
---|---|---|
without object | admit, avoid, consider, delay, deny, dislike, enjoy, fancy, favor, finish, hate, imagine, mind, miss, love, postpone, practice, quit, recall, recommend, resist, risk, stop, suggest carry on, give up, go on, keep on, put off *forget, regret, remember, stop, try | |
with object | have, make, let, suggest |
Note: สำหรับ verb ทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในตาราง ส่วนใหญ่จะใช้กับ to verb
Reference:
Make, let, allow
Verb + V-ing
Verb patterns: different meanings
Conference pattern
จริงๆ แล้วเป็นประโยคที่ไว้ถาม เมื่อเราฟังไม่ทัน ตามไม่ทันการประชุมมากกว่าฮับ
Sorry. - เริ่มต้นด้วย Sorry ก่อนจะ interrupt การประชุม
I missed that.
I didn't catch that.
I don't understand.
I'm not with you. - อย่าตลกนะค่ะ เค้าใช้แบบนี้จริงๆ
I don't follow you.
I don't quite see what you mean.
Could you say it again?
Could you go over that again?
Could you run through that again?
Could you explain what you mean?
Could you be a bit more specific?
Could you slow down a bit?
Could you speak up please?
Sorry. - เริ่มต้นด้วย Sorry ก่อนจะ interrupt การประชุม
I missed that.
I didn't catch that.
I don't understand.
I'm not with you. - อย่าตลกนะค่ะ เค้าใช้แบบนี้จริงๆ
I don't follow you.
I don't quite see what you mean.
Could you say it again?
Could you go over that again?
Could you run through that again?
Could you explain what you mean?
Could you be a bit more specific?
Could you slow down a bit?
Could you speak up please?
Adjective: Quantifier, Artical, Demonstrative
Uncountable noun | Countable noun | ||
---|---|---|---|
Singular noun | Plural noun | ||
Qualifier | all any, some more, most, most of enough a lot of, lots of plenty of the other, other a little, little much a great deal of | each, every | all any, some more, most, most of enough a lot of, lots of plenty of the other, other a few, few many both, both of, several a number of the number of |
Artical | the | a, an the | the |
Demonstrative | this that | these those |
Tense (ตอนที่ 6): Past Simple
ส่วน Past Simple ก็จะใช้เป็นรูป V2 แทน เช่น I drank water, I played football. I liked football (แปลว่าเคยชอบ ตอนนี้ไม่ได้ชอบแล้ว) ดูเหมือนง่ายๆ ไม่มีอะไรใช่ม่ะค่ะ
Form: V2
การใ้ช้: สรุปง่ายๆ ก็คือใ้ช้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และจบไปในอดีต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำ หรือว่าเป็นเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นช่วงหนึ่ง ก็ได้
ตัวอย่าง
I saw a movie yesterday.
She didn't wash her car.
I lived in Brazil for two years. - ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บราซิลแล้ว
I studied French when I was a child. - ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว He played the violin. - ตอนนี้เลิกเล่นไปแล้ว
Could
1. สามารถใช้เป็นความหมายเดียวกับ can สำหรับอดีต เช่น
When I was a child I could run fast.
เราใช้ could สำหรับความสามารถทั่วๆไปในอดีต แต่ถ้าจะกล่าวถึง ความสามารถบางอย่างที่ยากๆ หรือเหตุการณ์เฉพาะ (overcoming difficulty or about doing something in a specific situation) ก็จะไม่ใช่ could แต่จะใช้ was/were able to แทนนะค่ะ เช่น
He hadn't done much revision but somehow he was able to pass the exam.
The fire spread quickly, but luckily everybody was able to escape.
2. ใช้สำหรับบอก possibility ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังคาดหวังรอคอย เพื่อนๆที่จะมาเยี่ยม แต่พวกเขามาล่าช้า คุณสามารถพูดว่า
They could arrive at any time now
Would
1. ใช้แสดง repeated action หรือ habit ในอดีต
เน้นว่า repeated action คือเป็นการกระทำหลายๆ ครั้ง หรือว่าทำจนเป็นนิสัย เช่น
The paintings would often commissioned by the wealthy, and, they would hung in the home.
ซึ่ง การใช้ในความหมายนี้สามารถ ใช้ past simple แทนได้เลย เช่นประโยคด้านบนก็สามารถใช้เป็น
The paintings were often commissioned by the wealthy, and, they were hung in the home.
I'd go out to eat or bring home a take-away.
I'd ask your mother to help me with the washing and the ironing.
I know she'd help me.
เรา จะพบเห็นการใช้ would กับแบบที่ 2 มากกว่า โดยเฉพาะใน if clause แบบที่สอง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน (อันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต) เช่น
If I had more time, I would read more books. มันเหมือนจะเป็นไปได้ ที่ฉันจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วฉันไม่มีเวลา ฉันก็เลยไม่ได้อ่านหนังสือ
If he left today, he would be there by Friday. แปลได้ว่า จริงๆ เค้าไม่ได้ไปวันนี้หรอก ซึ่งเค้าก็คงไม่น่าจะถึงจุดหมายในวันศุกร์
พอ เข้าใจ If clause แบบที่ 2 ได้มากขึ้นม่ะค่ะ เพราะถ้าเราเข้าใจ เราก็จะสามารถใช้ได้อย่างไม่ต้องจำ อย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า เรื่องของ tense มีความเกี่ยวพันกับรูปแบบประโยค โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายของประโยค ถ้าเราศึกษาและพยายามทำความเข้าใจ เราก็จะสามารถเข้าได้ความหมายที่แฝงอยู่ได้มากขึ้น (พูดเหมือนเก่ง กำลังศึกษาอยู่เหมือนกันค่ะ)
Would vs. Past Simple
อย่างที่บอกไปแล้วนะ คะ่ ว่า would สามารถแทน Past Simple สำหรับ repeated action ในอดีตได้ แล้วทีนี้มันต่างกะ Past Simple ยังไง คำตอบ ก็คือง่ายมากเลยค่ะ ถึงแม้เราจะสามารถใช้ would กับ repeated action ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าใช้ได้ักับ ทุกๆ action (ไม่สามารถใช้กับ action ที่เกิดครั้งเดียว) เช่น
This painting would be commissioned in 1856 -- wrong.
This painting was commissioned in 1856 -- right.
และนอกจากนี้ would ไม่สามารถกับ state ได้ เช่น
Would vs. Used to
จับ คู่กับอีกตัวค่ะ สำหรับคู่นี้สามารถใช้กับ repeated action ได้เช่นเดียวกัน ก็คือใช้กับ action ที่ไม่ใช่ repeated action ไม่ได้ทั้งคู่ แต่ที่ต่างกันก็คือ used to สามารถใช้กับ state ได้ แต่ would ใช้กับ state ไม่ได้
I would be a painter -- wrong
I used to be a painter -- correct
Would vs. Could
ที่ เรากล่าวไปเป็นการใช้ would กับ could ในประโยคบอกเล่า นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีการใช้ would กับ could ในประโยคคำถามในเชิงขอร้อง ซึ่งหลายคนก็สงสัยมากว่ามันต่างกันยังไง โดยสรุปที่ใช้กันในปัจจุบันแทบจะไม่ต่างกันเลย แต่โดยนัย แล้วมีความต่างกันที่ could ให้ความรู้สึกของ can คือสามารถทำได้มั้ย แต่ would จะใช้ความรู้สึกว่าเต็มใจทำมั้ย เช่น
Could you open the door for me when I get there?
ให้ความรู้สึกว่า คุณถามว่า เค้าจะทำได้มั้ย คืออีกฝ่ายอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตอนที่คุณไปถึง ก็เลยทำไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น
Would you open the door for me when I get there?
อาจจะเป็นได้ว่าเค้า อยู่ตรงนั้น และทำให้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าจะช่วยทำให้ได้มั้ย เป็นการถามความเต็มใจ ตั้งใจ ถึงได้มีประโยคที่บอกว่า I WOULD if I COULD. ก็คือฉันเต็มใจทำให้อยู่แล้วแหละ ถ้าทำได้ ซึ่งก็แสดงเป็นนัยว่า ฉันทำไม่ได้ คือ I ไม่ could ก็ไมู่้รู้จะ would ยังไง
ซึ่งหาอ่านรายละเอียดได้จาก reference ข้างท้ายที่ Would or Could
แต่ยังไงก็แล้วแต่เนื่องจากการใช้งานในปัจจุบันทำให้ ความหมายของคำลดน้อยลง และความแตกต่างของคำทั้งสองก็น้อยลงไปด้วย เรียกได้ว่าใ้ช้แทนกันก็ไม่ผิดค่ะ
Used to vs. Past Simple
เนื่องจากในภาษาไทยเราไม่มี tense เราใช้ verb ช่องเดียว ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน เราอาจจะใช้คำบางคำที่ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต เช่น ฉันเคยอ้วน แปลว่าแต่ก่อนอ้วน ทำให้คนไทยสับสนเวลามาใช้กับประโยคภาษาอังกฤษ เพราะว่า ภาษาอังกฤษไม่มีคำว่า เคย แต่เค้าจะใช้ tense ในการบอกเวลา บางคนอาจจะคิดว่า used to สามารถใช้แทนคำว่าเคยได้ แต่จริงๆ used to มีความหมายคล้ายๆ กับ past simple ซึ่ง
1. สามารถใช้แสดง state หรือสถานะ สภาวะ เช่น
I used to live in Paris.
2. ใช้เน้น repetition action คือเคยทำบ่อยๆ เป็นประจำ เช่น
I used to play football.
แปลว่า เคยเล่น (แล้วก็เล่นเป็นประจำด้วย ไม่ใช่แค่เล่นครั้งสองครั้ง) ถ้าเล่นแค่ไม่กี่ครั้งเค้าก็จะใช้ I played football once when I was young. แบบนี้เป็นต้น
ซึ่งทั้งสองประโยคที่ใช้ used to ข้างต้น สามารถแทนด้วย past simple ได้เลยค่ะ I lived in Paris, I played football ไม่ผิดอะไรค่ะ ใช้ได้เลย แต่ว่า used to ไม่สามารถใช้กับเหตุการณ์ในอดีตอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการใช้ 2 ข้อข้างต้นไม่ได้
เช่น
I saw a movie yesterday.
I studied French when I was a child.
ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึง ก็คือจะไม่มีการใช้ used to ในประโยคคำถาม หรือปฏิเสธ เช่นI not used to play football เค้าไ่ม่ใช้กันค่ะ แต่จะใช้ I did not play football.
Would have / Could have / Should have
สำหรับ would ที่ใช้กับ possibility จะหมายถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ปัจจุบัน (แต่เป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้น) ส่วน would have เป็นเุหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต (แต่ไม่ได้เกิดขึ้น) ซึ่งจะใช้ใน if clause แบบที่ 3 เช่น
If he'd taken an umbrella, he wouldn't have got wet on the way home.
และ could have กับ should have ก็ใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ could have มีความหมายแฝงในเชิงของ can คือสามารถเกิดขึ้นได้ในอดีต และ should have ก็แฝงในลักษณะของการแนะนำ
Reference:
Past Simple Tense
should and should have, would and would have, could and could have
Past habits and repeated actions - 'would'
http://www.bic-englishlearning.com/tenseA.html
Would or Could
Form: V2
การใ้ช้: สรุปง่ายๆ ก็คือใ้ช้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และจบไปในอดีต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำ หรือว่าเป็นเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นช่วงหนึ่ง ก็ได้
ตัวอย่าง
I saw a movie yesterday.
She didn't wash her car.
I lived in Brazil for two years. - ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บราซิลแล้ว
I studied French when I was a child. - ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว He played the violin. - ตอนนี้เลิกเล่นไปแล้ว
Could
1. สามารถใช้เป็นความหมายเดียวกับ can สำหรับอดีต เช่น
When I was a child I could run fast.
เราใช้ could สำหรับความสามารถทั่วๆไปในอดีต แต่ถ้าจะกล่าวถึง ความสามารถบางอย่างที่ยากๆ หรือเหตุการณ์เฉพาะ (overcoming difficulty or about doing something in a specific situation) ก็จะไม่ใช่ could แต่จะใช้ was/were able to แทนนะค่ะ เช่น
He hadn't done much revision but somehow he was able to pass the exam.
The fire spread quickly, but luckily everybody was able to escape.
2. ใช้สำหรับบอก possibility ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังคาดหวังรอคอย เพื่อนๆที่จะมาเยี่ยม แต่พวกเขามาล่าช้า คุณสามารถพูดว่า
They could arrive at any time now
Would
1. ใช้แสดง repeated action หรือ habit ในอดีต
เน้นว่า repeated action คือเป็นการกระทำหลายๆ ครั้ง หรือว่าทำจนเป็นนิสัย เช่น
The paintings would often commissioned by the wealthy, and, they would hung in the home.
ซึ่ง การใช้ในความหมายนี้สามารถ ใช้ past simple แทนได้เลย เช่นประโยคด้านบนก็สามารถใช้เป็น
The paintings were often commissioned by the wealthy, and, they were hung in the home.
และ ในความหมายนี้ ยังสามารถใช้ used to แทนได้ด้วย เป็น
The paintings used to be commissioned by the wealthy and, they used to be hung in the home.
The paintings used to be commissioned by the wealthy and, they used to be hung in the home.
2. ใช้สำหรับ possibility ได้เหมือนกับ could ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริง หรือไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่อาจจะเกิดขึ้นได้ (unreal or unlikely situation that might arise now or in the future) เช่น
I wouldn't bother to cook.I'd go out to eat or bring home a take-away.
I'd ask your mother to help me with the washing and the ironing.
I know she'd help me.
เรา จะพบเห็นการใช้ would กับแบบที่ 2 มากกว่า โดยเฉพาะใน if clause แบบที่สอง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน (อันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต) เช่น
If I had more time, I would read more books. มันเหมือนจะเป็นไปได้ ที่ฉันจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วฉันไม่มีเวลา ฉันก็เลยไม่ได้อ่านหนังสือ
If he left today, he would be there by Friday. แปลได้ว่า จริงๆ เค้าไม่ได้ไปวันนี้หรอก ซึ่งเค้าก็คงไม่น่าจะถึงจุดหมายในวันศุกร์
พอ เข้าใจ If clause แบบที่ 2 ได้มากขึ้นม่ะค่ะ เพราะถ้าเราเข้าใจ เราก็จะสามารถใช้ได้อย่างไม่ต้องจำ อย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า เรื่องของ tense มีความเกี่ยวพันกับรูปแบบประโยค โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายของประโยค ถ้าเราศึกษาและพยายามทำความเข้าใจ เราก็จะสามารถเข้าได้ความหมายที่แฝงอยู่ได้มากขึ้น (พูดเหมือนเก่ง กำลังศึกษาอยู่เหมือนกันค่ะ)
Would vs. Past Simple
อย่างที่บอกไปแล้วนะ คะ่ ว่า would สามารถแทน Past Simple สำหรับ repeated action ในอดีตได้ แล้วทีนี้มันต่างกะ Past Simple ยังไง คำตอบ ก็คือง่ายมากเลยค่ะ ถึงแม้เราจะสามารถใช้ would กับ repeated action ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าใช้ได้ักับ ทุกๆ action (ไม่สามารถใช้กับ action ที่เกิดครั้งเดียว) เช่น
This painting was commissioned in 1856 -- right.
และนอกจากนี้ would ไม่สามารถกับ state ได้ เช่น
I would be a painter -- wrong
I was a painter -- right
Would vs. Used to
จับ คู่กับอีกตัวค่ะ สำหรับคู่นี้สามารถใช้กับ repeated action ได้เช่นเดียวกัน ก็คือใช้กับ action ที่ไม่ใช่ repeated action ไม่ได้ทั้งคู่ แต่ที่ต่างกันก็คือ used to สามารถใช้กับ state ได้ แต่ would ใช้กับ state ไม่ได้
I used to be a painter -- correct
Would vs. Could
ที่ เรากล่าวไปเป็นการใช้ would กับ could ในประโยคบอกเล่า นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีการใช้ would กับ could ในประโยคคำถามในเชิงขอร้อง ซึ่งหลายคนก็สงสัยมากว่ามันต่างกันยังไง โดยสรุปที่ใช้กันในปัจจุบันแทบจะไม่ต่างกันเลย แต่โดยนัย แล้วมีความต่างกันที่ could ให้ความรู้สึกของ can คือสามารถทำได้มั้ย แต่ would จะใช้ความรู้สึกว่าเต็มใจทำมั้ย เช่น
Could you open the door for me when I get there?
ให้ความรู้สึกว่า คุณถามว่า เค้าจะทำได้มั้ย คืออีกฝ่ายอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตอนที่คุณไปถึง ก็เลยทำไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น
Would you open the door for me when I get there?
อาจจะเป็นได้ว่าเค้า อยู่ตรงนั้น และทำให้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าจะช่วยทำให้ได้มั้ย เป็นการถามความเต็มใจ ตั้งใจ ถึงได้มีประโยคที่บอกว่า I WOULD if I COULD. ก็คือฉันเต็มใจทำให้อยู่แล้วแหละ ถ้าทำได้ ซึ่งก็แสดงเป็นนัยว่า ฉันทำไม่ได้ คือ I ไม่ could ก็ไมู่้รู้จะ would ยังไง
ซึ่งหาอ่านรายละเอียดได้จาก reference ข้างท้ายที่ Would or Could
แต่ยังไงก็แล้วแต่เนื่องจากการใช้งานในปัจจุบันทำให้ ความหมายของคำลดน้อยลง และความแตกต่างของคำทั้งสองก็น้อยลงไปด้วย เรียกได้ว่าใ้ช้แทนกันก็ไม่ผิดค่ะ
หลาย คนอาจจะคิดว่า มันไม่เกี่ยวกะเรื่อง tense แต่อาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ modal verb ก็แล้วแต่จะมองค่ะ ขอให้เข้าใจ และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องก็ถือว่าดีมากมาย
เนื่องจากในภาษาไทยเราไม่มี tense เราใช้ verb ช่องเดียว ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน เราอาจจะใช้คำบางคำที่ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต เช่น ฉันเคยอ้วน แปลว่าแต่ก่อนอ้วน ทำให้คนไทยสับสนเวลามาใช้กับประโยคภาษาอังกฤษ เพราะว่า ภาษาอังกฤษไม่มีคำว่า เคย แต่เค้าจะใช้ tense ในการบอกเวลา บางคนอาจจะคิดว่า used to สามารถใช้แทนคำว่าเคยได้ แต่จริงๆ used to มีความหมายคล้ายๆ กับ past simple ซึ่ง
1. สามารถใช้แสดง state หรือสถานะ สภาวะ เช่น
I used to live in Paris.
2. ใช้เน้น repetition action คือเคยทำบ่อยๆ เป็นประจำ เช่น
I used to play football.
แปลว่า เคยเล่น (แล้วก็เล่นเป็นประจำด้วย ไม่ใช่แค่เล่นครั้งสองครั้ง) ถ้าเล่นแค่ไม่กี่ครั้งเค้าก็จะใช้ I played football once when I was young. แบบนี้เป็นต้น
ซึ่งทั้งสองประโยคที่ใช้ used to ข้างต้น สามารถแทนด้วย past simple ได้เลยค่ะ I lived in Paris, I played football ไม่ผิดอะไรค่ะ ใช้ได้เลย แต่ว่า used to ไม่สามารถใช้กับเหตุการณ์ในอดีตอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการใช้ 2 ข้อข้างต้นไม่ได้
เช่น
I saw a movie yesterday.
I studied French when I was a child.
ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึง ก็คือจะไม่มีการใช้ used to ในประโยคคำถาม หรือปฏิเสธ เช่น
Would have / Could have / Should have
สำหรับ would ที่ใช้กับ possibility จะหมายถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ปัจจุบัน (แต่เป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้น) ส่วน would have เป็นเุหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต (แต่ไม่ได้เกิดขึ้น) ซึ่งจะใช้ใน if clause แบบที่ 3 เช่น
If he'd taken an umbrella, he wouldn't have got wet on the way home.
และ could have กับ should have ก็ใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ could have มีความหมายแฝงในเชิงของ can คือสามารถเกิดขึ้นได้ในอดีต และ should have ก็แฝงในลักษณะของการแนะนำ
Reference:
Past Simple Tense
should and should have, would and would have, could and could have
Past habits and repeated actions - 'would'
http://www.bic-englishlearning.com/tenseA.html
Would or Could
Tense (ตอนที่ 4): Present Perfect
สุดท้าย Present Perfect
Form: have, has + V3
การใช้
1. ใช้สำหรับ a past action ที่มีผลมาจนถึงปัจจุบัน
She has gone for a break - หมายความได้ว่า ตอนนี้เธอไม่อยู่ เพราะว่าเธอออกไป
2. สำหรับการกระทำในอดีต ที่ยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมันจะมี for, since, ever since (ระยะเวลาจากนั้นเป็นต้นมา), since then (จากนั้นเป็นต้นมา) ช่วยบอกระยะเวลาที่เริ่มของการกระทำ หรือ จุดของเวลาที่เริ่มการกระทำ
We have studied here for for years.
We have studied here since 1998.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline since then.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline ever since.
สองประโยคสุดท้าย มีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างของ ever since กับ since then คือ ever since จะเน้นที่ ระยะเวลา ช่วงเวลา นับแต่นั้นมา (period of time) แต่ since then จะเน้นที่ ณ.จุดเวลานั้นเป็นต้นมา (point in time)
3. a recent news หรือ recent action
การใช้ในลักษณะนี้ จะมีความใกล้เคียง past simple มาก และแม้ว่าจะใช้ past simple แทนเลย ก็ไม่น่าจะผิดนะค่ะ ในความเห็นของตัวเอง แล้วการใช้ present perfect ช่วยเน้นว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งจะเกิดขึ้น เิ่พิ่งจะจบไป ซึ่งมันจะมี adverb เช่น yet, just, already หรือ never ซึ่งใช้ในความหมายปฏิเสธ
The Prime Minister has died.
Have you finished your homework yet?
I have just finished my homework.
I have already finished my homework.
I have never been here.
ตัวอย่าง บางส่วนของ present perfect ที่อาจจะทำให้เข้าใจมากขึ้น หรือทำให้งงมากขึ้นซะก็ไม่รู้
I've lost my key - ทำกุญแจหาย และก็ยังหาไม่เจอด้วย
l lost my key - ทำกุญแจหาย แต่ตอนนี้อาจจะหาเจอแล้ว (หรือเป็นไปได้ที่หาไม่เจอเลยก็ได้)
แต่มีบางรูปแบบของ past perfect ที่ เอ่อ... ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน คือ
She has been to Japan. - หมายถึงเธอเคยไปที่ญี่ปุ่น แต่ตอนนี้เธอไมไ่ด้อยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว
They have gone to Japan. - เธอไปญี่ปุ่น และตอนนี้ก็ยังไม่กลับด้วย เธอยังอยู่ที่ญี่ปุ่น คือเหตุการณ์ัยังดำเนินอยู่
แต่ถ้าใครจะถามว่า แล้ว
She has been to Japan. กับ She went to Japan. ต่างกันไง
เอ่อ... เอ่อ... ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยความสัตย์จริง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยเห๊อะ
Form: have, has + V3
การใช้
1. ใช้สำหรับ a past action ที่มีผลมาจนถึงปัจจุบัน
She has gone for a break - หมายความได้ว่า ตอนนี้เธอไม่อยู่ เพราะว่าเธอออกไป
2. สำหรับการกระทำในอดีต ที่ยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมันจะมี for, since, ever since (ระยะเวลาจากนั้นเป็นต้นมา), since then (จากนั้นเป็นต้นมา) ช่วยบอกระยะเวลาที่เริ่มของการกระทำ หรือ จุดของเวลาที่เริ่มการกระทำ
We have studied here for for years.
We have studied here since 1998.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline since then.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline ever since.
สองประโยคสุดท้าย มีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างของ ever since กับ since then คือ ever since จะเน้นที่ ระยะเวลา ช่วงเวลา นับแต่นั้นมา (period of time) แต่ since then จะเน้นที่ ณ.จุดเวลานั้นเป็นต้นมา (point in time)
3. a recent news หรือ recent action
การใช้ในลักษณะนี้ จะมีความใกล้เคียง past simple มาก และแม้ว่าจะใช้ past simple แทนเลย ก็ไม่น่าจะผิดนะค่ะ ในความเห็นของตัวเอง แล้วการใช้ present perfect ช่วยเน้นว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งจะเกิดขึ้น เิ่พิ่งจะจบไป ซึ่งมันจะมี adverb เช่น yet, just, already หรือ never ซึ่งใช้ในความหมายปฏิเสธ
The Prime Minister has died.
Have you finished your homework yet?
I have just finished my homework.
I have already finished my homework.
I have never been here.
ตัวอย่าง บางส่วนของ present perfect ที่อาจจะทำให้เข้าใจมากขึ้น หรือทำให้งงมากขึ้นซะก็ไม่รู้
I've lost my key - ทำกุญแจหาย และก็ยังหาไม่เจอด้วย
l lost my key - ทำกุญแจหาย แต่ตอนนี้อาจจะหาเจอแล้ว (หรือเป็นไปได้ที่หาไม่เจอเลยก็ได้)
แต่มีบางรูปแบบของ past perfect ที่ เอ่อ... ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน คือ
She has been to Japan. - หมายถึงเธอเคยไปที่ญี่ปุ่น แต่ตอนนี้เธอไมไ่ด้อยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว
They have gone to Japan. - เธอไปญี่ปุ่น และตอนนี้ก็ยังไม่กลับด้วย เธอยังอยู่ที่ญี่ปุ่น คือเหตุการณ์ัยังดำเนินอยู่
แต่ถ้าใครจะถามว่า แล้ว
She has been to Japan. กับ She went to Japan. ต่างกันไง
เอ่อ... เอ่อ... ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยความสัตย์จริง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยเห๊อะ
Tense (ตอนที่ 3): Present Continuous
ต่อไป Present Continuous ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะหมายถึงการการกระทำที่กำลัง ทำอยู่ ณ.เวลาที่พูด แต่ present continuous ยังมีการใช้งานในความหมาย กึ่งๆ future ด้วย คือหมายถึง กำลังจะทำ (ตัดสินใจแน่นอนแล้ว, วางแผนแล้ว) โดยสรุป
Form: is, am, are + Ving
การใช้งาน
1. Happening now - เกินขึ้นขณะนั้น
They're watching TV.
2. Planned future arrangement - กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยได้วางแผนไว้แล้ว มีการกำหนดไว้แล้ว
Helen's studying later tonight. I'm playing football with my friends on Saturday.
Reference:
Present Form
Present continuous for future arrangement
Form: is, am, are + Ving
การใช้งาน
1. Happening now - เกินขึ้นขณะนั้น
They're watching TV.
2. Planned future arrangement - กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยได้วางแผนไว้แล้ว มีการกำหนดไว้แล้ว
Helen's studying later tonight. I'm playing football with my friends on Saturday.
Reference:
Present Form
Present continuous for future arrangement
Tense (ตอนที่ 2): Present Simple
เริ่มจาก Present Simple กันก่อน รูปแบบนี้ก็จะเป็น V1 เช่น I drink water, I play football, I likes football ง่ายมั๊กๆ
Form: V1
การใช้งาน
1. Habit ใช้สำหรับอะไรที่เราทำเป็นประจำ เป็นปกติ ทำบ่อยๆ
We give Helen the rent every month.
She sends the cheque to the landlord.
2. Fact ใช้กับอะไรที่เป็นความจริง
The sun rises in the east.
Brasilia is the capital of Brazil.
3. State ใช้กับอะไรที่เป็นสถานะ ณ.ขณะนั้น
They live in a flat together.
Alice doesn't work in a hospital.
Form: V1
การใช้งาน
1. Habit ใช้สำหรับอะไรที่เราทำเป็นประจำ เป็นปกติ ทำบ่อยๆ
We give Helen the rent every month.
She sends the cheque to the landlord.
2. Fact ใช้กับอะไรที่เป็นความจริง
The sun rises in the east.
Brasilia is the capital of Brazil.
3. State ใช้กับอะไรที่เป็นสถานะ ณ.ขณะนั้น
They live in a flat together.
Alice doesn't work in a hospital.
4. Thoughts, feelings, opinions. ซึ่งเป็น non-continuous verb จะต้องใช้เป็น simple form เท่านั้น จะไม่ใช้เป็น continuous form
ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรนะค่ะ แต่ถ้าเราดูให้ลึกลงไป เช่น Present Simple ที่ประกอบด้วย modal เพื่อใช้เสริมความหมายถึงอื่นๆ เช่น ต้องทำ, ควรทำ ก็จะต้องใช้ modal verb หรือ auxiliary verb มาช่วย ซึ่งได้แก่ can, could, may, might, shall, should, would ความหมายโดยทั่วๆไป ก็คงรู้กันอยู่แล้ว เช่น can ใช้บอกความสามารถ may, might บอกความน่าจะเป็น, shall ใช้กรณีชักชวนซึ่งมันใช้กะ we, should หมายถึงควรจะ เป็นการแนะนำ แต่โดยลึกๆ แล้ว modal verb เช่น could, would มีความหมายได้หลากหลายและใช้ได้หลากหลาย ซึ่งบางความหมายสามารถใช้หมายถึงปัจจุบัน แต่ในบางความหมายก็หมายถึงอดีต จะขอยกยอดไปเขียนใน Past Tense ทีเดียวเลยนะค่ะ
ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรนะค่ะ แต่ถ้าเราดูให้ลึกลงไป เช่น Present Simple ที่ประกอบด้วย modal เพื่อใช้เสริมความหมายถึงอื่นๆ เช่น ต้องทำ, ควรทำ ก็จะต้องใช้ modal verb หรือ auxiliary verb มาช่วย ซึ่งได้แก่ can, could, may, might, shall, should, would ความหมายโดยทั่วๆไป ก็คงรู้กันอยู่แล้ว เช่น can ใช้บอกความสามารถ may, might บอกความน่าจะเป็น, shall ใช้กรณีชักชวนซึ่งมันใช้กะ we, should หมายถึงควรจะ เป็นการแนะนำ แต่โดยลึกๆ แล้ว modal verb เช่น could, would มีความหมายได้หลากหลายและใช้ได้หลากหลาย ซึ่งบางความหมายสามารถใช้หมายถึงปัจจุบัน แต่ในบางความหมายก็หมายถึงอดีต จะขอยกยอดไปเขียนใน Past Tense ทีเดียวเลยนะค่ะ
Tense (ตอนที่ 1): Form
สำหรับตัวเองแล้ว เชื่อว่าประโยคต่างๆ ไม่ว่าจะ if clause, compound, complex sentence มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของ tense และการใช้ verb ซึ่งอาจจะเป็น auxiliary verb ก็ได้
ดังนั้นก่อนจะดูว่ามันเกี่ยวกันยังไง เรามาเรียนรู้เรื่อง tense form ต่างๆ กันก่อนนะค่ะ
ดังนั้นก่อนจะดูว่ามันเกี่ยวกันยังไง เรามาเรียนรู้เรื่อง tense form ต่างๆ กันก่อนนะค่ะ
Past | Present | Future | |
---|---|---|---|
Simple | V2 (ตอนที่6) | V1 (ตอนที่2) | V3 (ตอนที่10) |
Continuous V to be + Ving | was, were + Ving (ตอนที่7) | is, am, are + Ving (ตอนที่3) | will be + Ving (ตอนที่11) |
Perfect V to have + V3 | had + V3 (ตอนที่8) | have, has + V3 (ตอนที่4) | will have + V3 (ตอนที่12) |
Perfect Continuous V to have + been + Ving | had + been + Ving (ตอนที่9) | have, has + been+ Ving (ตอนที่5) | will have + been + Ving (ตอนที่13) |
นอกจากรูปแบบของฟอร์มในแต่ละ tense แล้ว ความรู้เรื่อง verb ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก่อนจะเข้าเนื้อหาจริงๆ ของ tense การใช้ verb กับ tense ต่าง เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจการแบ่ง verb เป็นประเภทดังนี้
Reference:
Types of Verbs
- verb ทั่วไป ซึ่งเป็น verb ที่เราสามารถเป็นอาการของการกระทำนั้นได้ เช่น eat, walk, go, say.
- non-continuous verb หรือ stative verb ก็คือ verb ที่เราไม่สามารถเห็นอาการของมันได้ ซึ่งแบ่งคร่าวๆ ได้ดังนี้
- abstract verb เช่น to be, to want, to cost, to seem, to need, to care, to contain, to owe, to exist
- possession verb (verb ที่แสดงความเป็นเจ้าของ) เช่น to possess, to own, to belong
- emotion verb (verb ที่แสดงอารมณ์) เช่น to like, to love, to hate, to dislike, to fear, to envy, to mind
- mixed verb คือเป็นกลุ่มที่สามารถใช้ continuous tense ได้ หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่ว่าความหมายจะแตกต่างกัน เช่น to appear, to feel, to have, to hear, to look, to see, to weigh
- to have
- I have a dollar. - ฉันเป็นเจ้าของเงิน 1 ดอลล่าร์
I am having fun. - ฉันรู้สึกสนุก - to hear
- She hears the music - เธอได้ยินเสียงเพลง (ผ่านหู)
She is hearing voices - เธอได้ยินเสียง (ซึ่งคนอื่นไม่ได้ยิน คือได้ยินในจิตใจของเธอเอง)
ซึ่ง verb เหล่านี้ไม่สามารถใช้กับ continuous tense ได้ เนื่องจากเป็น verb ที่เราไม่สามารถเห็นอาการของมันและบอกได้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่
Reference:
Types of Verbs
Words: Time
แบบเจาะจงเวลา
เด็กๆ เคยเรียนใช่ม่ะค่ะ today, tomorrow, yesterday. ง่ายปาย ใครๆ ก็รู้อ่ะ
แล้ว last week, last month, last year ก็ยังไม่มีอะไร อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว
เอ.. แล้ว 2 อาทิตย์ที่แล้วอ่ะ ว่าไง ... เฉลย ก็ใช้ 2 weeks ago ไง หรือ 3 days ago, 3 months ago, 5 years ago อย่าได้หลงไปใช้last 2 weeks นะ มันใช้ม่ะได้
จริงๆ แล้วเราจะใช้ 1 week ago, 1 month ago หรือ 1 year ago ก็ได้เหมือนกันนะ มีความหมายเหมือนกับ อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วเหมือนกัน
แต่ที่ไม่ค่อยเคยเห็น1 day ago มันฟังดูแมร่งๆ ชอบกลเอามากๆ เพราะว่า มันก็คือ yesterday นะเองอ่ะ ส่วน last day มีใช้เหมือนกัน แต่ไม่ได้มีความหมายว่าเืมื่อวานนี้ แต่จะมีความหมายตามคำ คือ วันสุดท้าย
ถ้าจะพูดถึงอนาคต ก็ next week, next month, next year ว่ากันไป
แล้ว อีก 2 เดือนข้างหน้าอ่ะ ก็ next 2 months แล้วก็ next 3 weeks, next 4 years
หรือจะบอกว่า สิ้นเดือนนี้ ก็ by the end of the month เช่น The new restaurant will be open by the end of the month.
เวลานี้ของปีหน้า ก็ this time next year เช่น This time next year, we'll be millionaires! (เอ่อ... อยากให้เป็นงั้นจริงๆ จังเยย)
แบบไม่เจาะจงเวลา
แบบที่เจาะจงเวลา มันก็งั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรยากเท่าไร แต่พอเราจะบอกว่า เมื่อกี้นี้, เมื่อวันก่อน..., ทุกวันนี้..., หรือ เร็วๆ นี้... เนี้ยะ นึกยากจริงๆ เพราะอาจาร์ยภาษาอังกฤษไม่เคยสอนอ่ะ ไม่รู้ทำไม ฉะนี้แล้วก็มาดูกันดีกว่า
Past
a moment ago - เมื่อกี้นี้
a short time ago - นานกว่าเมื่อกี้นี้หน่อยนึงมั้ง
the other day - เมื่อวันก่อน (ไม่รู้ว่าวันไหนเหมือนกัน)
ages and ages ago - เมื่อนานมาแล้ว
many moons ago - นานมาแล้วเหมือนกัน
เช่น
I've already heard the news. She told me a short time ago.
I went shopping the other day.
I've know about it for a very long time. She told me ages and ages ago.
Many moons ago, he told me the story of his life.
Present
for the time being - ตอนนี้, ช่วงนี้
these days - ทุกวันนี้
in this day and age - ในยุคสมัยนี้
เช่น
For the time being, I'm catching the bus to work, but I hope to get a bicycle soon.
These days I'm happy at work, but there were times in the past when I was unhappy.
In this day and age it is normal for women to be senior managers, but it wasn't always like that.
Very soon or immediately
as soon as possible
straight away
in a minute or two / in a second or two
Future
in the not too distant future เช่น I'll be seeing my sister in the not too distant future.
References:
Time expressions
เด็กๆ เคยเรียนใช่ม่ะค่ะ today, tomorrow, yesterday. ง่ายปาย ใครๆ ก็รู้อ่ะ
แล้ว last week, last month, last year ก็ยังไม่มีอะไร อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว
เอ.. แล้ว 2 อาทิตย์ที่แล้วอ่ะ ว่าไง ... เฉลย ก็ใช้ 2 weeks ago ไง หรือ 3 days ago, 3 months ago, 5 years ago อย่าได้หลงไปใช้
จริงๆ แล้วเราจะใช้ 1 week ago, 1 month ago หรือ 1 year ago ก็ได้เหมือนกันนะ มีความหมายเหมือนกับ อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วเหมือนกัน
แต่ที่ไม่ค่อยเคยเห็น
ถ้าจะพูดถึงอนาคต ก็ next week, next month, next year ว่ากันไป
แล้ว อีก 2 เดือนข้างหน้าอ่ะ ก็ next 2 months แล้วก็ next 3 weeks, next 4 years
หรือจะบอกว่า สิ้นเดือนนี้ ก็ by the end of the month เช่น The new restaurant will be open by the end of the month.
เวลานี้ของปีหน้า ก็ this time next year เช่น This time next year, we'll be millionaires! (เอ่อ... อยากให้เป็นงั้นจริงๆ จังเยย)
แบบไม่เจาะจงเวลา
แบบที่เจาะจงเวลา มันก็งั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรยากเท่าไร แต่พอเราจะบอกว่า เมื่อกี้นี้, เมื่อวันก่อน..., ทุกวันนี้..., หรือ เร็วๆ นี้... เนี้ยะ นึกยากจริงๆ เพราะอาจาร์ยภาษาอังกฤษไม่เคยสอนอ่ะ ไม่รู้ทำไม ฉะนี้แล้วก็มาดูกันดีกว่า
Past
a moment ago - เมื่อกี้นี้
a short time ago - นานกว่าเมื่อกี้นี้หน่อยนึงมั้ง
the other day - เมื่อวันก่อน (ไม่รู้ว่าวันไหนเหมือนกัน)
ages and ages ago - เมื่อนานมาแล้ว
many moons ago - นานมาแล้วเหมือนกัน
เช่น
I've already heard the news. She told me a short time ago.
I went shopping the other day.
I've know about it for a very long time. She told me ages and ages ago.
Many moons ago, he told me the story of his life.
Present
for the time being - ตอนนี้, ช่วงนี้
these days - ทุกวันนี้
in this day and age - ในยุคสมัยนี้
เช่น
For the time being, I'm catching the bus to work, but I hope to get a bicycle soon.
These days I'm happy at work, but there were times in the past when I was unhappy.
In this day and age it is normal for women to be senior managers, but it wasn't always like that.
Very soon or immediately
as soon as possible
straight away
in a minute or two / in a second or two
Future
in the not too distant future เช่น I'll be seeing my sister in the not too distant future.
References:
Time expressions
Verb: Linking verbs
เรารู้ๆ กันอยู่นะค่ะว่า ปกติแล้ว ถ้าเราจะใช้ adjective จะต้องใชักับ Verb to be เพราะว่า adjective ขนายนาม ก็ต้องใช้กับ เป็น อยู่ คือ เช่น She is beautiful
แต่มี verb บางประเภทที่สามารถใช้แทน Verb to be ในกรณีนี้ได้ คือสามารถตามด้วย adjective ซึ่ง verb พวกนี้ก็คือ linking verb หรือ copula ซึ่งแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้
Verbs of perception: seem, appear
Verbs of sense: look, feel, taste, smell, sound
Change-of-state verbs: become, grow, get, go, turn
verb พวกนี้แหละที่สามารถจะตามได้ adjective ไำด้ เช่น
Your plan seems realistic.
He appears older than he really is.
The blue dress looks better.
The sun got hotter and hotter.
His face went white with shock.
แต่ทั้งนี้ทั้นนั้นก็ไม่ได้แปลว่า linking verb หรือ copula เหล่านี้จะตามด้วย adverb เหมือนปกติไม่ได้นะค่ะ ก็ยังสามารถใช้เหมือน verb ทั่วไปได้เช่นเดิม เช่น
She looks angrily at her husband. - เธอมองสามีอย่างโกรธๆ angrily ขยาย looks
She looks angry. - เธอโกรธ เหมือนกับ she is angry แปลเหมือนกันค่ะ แต่ angry ขยาย she.
ได้ทั้งสองค่ะ ถูกหลักไวยกรณ์ อ่านเข้าใจ แต่ความหมายต่างกัน ลองดูอีกสักตัวอย่างนะค่ะ
The cake tasted beautiful. - เค้กอร่อย beautiful ขยาย cake
She quickly tasted the cake. - เธอชิมเค้กอย่างรวดเร็ว quickly ขยาย taste
พอเข้าใจกันนะค่ะ
Reference:
Verbs which take adjectives - look, feel, seem, sound
แต่มี verb บางประเภทที่สามารถใช้แทน Verb to be ในกรณีนี้ได้ คือสามารถตามด้วย adjective ซึ่ง verb พวกนี้ก็คือ linking verb หรือ copula ซึ่งแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้
Verbs of perception: seem, appear
Verbs of sense: look, feel, taste, smell, sound
Change-of-state verbs: become, grow, get, go, turn
verb พวกนี้แหละที่สามารถจะตามได้ adjective ไำด้ เช่น
Your plan seems realistic.
He appears older than he really is.
The blue dress looks better.
The sun got hotter and hotter.
His face went white with shock.
แต่ทั้งนี้ทั้นนั้นก็ไม่ได้แปลว่า linking verb หรือ copula เหล่านี้จะตามด้วย adverb เหมือนปกติไม่ได้นะค่ะ ก็ยังสามารถใช้เหมือน verb ทั่วไปได้เช่นเดิม เช่น
She looks angrily at her husband. - เธอมองสามีอย่างโกรธๆ angrily ขยาย looks
She looks angry. - เธอโกรธ เหมือนกับ she is angry แปลเหมือนกันค่ะ แต่ angry ขยาย she.
ได้ทั้งสองค่ะ ถูกหลักไวยกรณ์ อ่านเข้าใจ แต่ความหมายต่างกัน ลองดูอีกสักตัวอย่างนะค่ะ
The cake tasted beautiful. - เค้กอร่อย beautiful ขยาย cake
She quickly tasted the cake. - เธอชิมเค้กอย่างรวดเร็ว quickly ขยาย taste
พอเข้าใจกันนะค่ะ
Reference:
Verbs which take adjectives - look, feel, seem, sound
Britist vs. American English words
มีหลายคำมากเลยที่ใช้ต่างกัน ยกมาเป็น sample หรือลองเข้าไปดูตาม reference ข้างล่างก็ได้ค่ะ
Reference:
British vs. American English converter
British | American | |
---|---|---|
motorway | freeway | |
shopping centre | shopping mall | |
toilet | rest room | |
underground | subway | |
lift | elevator | |
petrol | gas, gasoline | |
roundabout | traffic circle | |
car park | parking lot | |
lorry | truck | |
trolley | cart | |
chemist's | drug store | |
taxi | cab | |
quid (= pound) | buck (= dollar) | |
cheque | check | |
sweet | dessert | |
sweets | candy | |
tap | faucet | |
wardrobe | closet |
Reference:
British vs. American English converter
Linking words
Conjuction | Preposition | Adverb | |
---|---|---|---|
คล้อยตาม | and or not only ..., but also | and or besides as well as | also besides in addition additionally moreover furthermore |
แสดงเหตุ | because as since | because of due to | |
แสดงผล | so so ... that such ... that | as a result of | consequently accordingly as a consequence as a result therefore hence thus ergo |
ขัดแย้ง | but while whereas although though even if even though | despite in spite of notwithstanding | however nevertheless nonetheless though on the other hand |
so ... that vs. such ... that
ความแตกต่างของการใช้ 2 อันนี้คือ
so + adj
such + adj + noun
เช่น
She was so tired that she fell asleep in the armchair.
It was such a foggy day that we couldn’t see the road.
แต่
We have had so many problems with the new line that we have decided to shut it down temporarily.
นึกม่ะออกแย้ว
ผัก - ผลไม้ ในภาษาอังกฤษ
เริ่มที่ผักกินใบกันก่อน
cabbage - กะหล่ำปลีcauliflower - กะหล่ำดอก
spinach - ผักขม
morning glory - ผักบุ้ง
lettuce - ผักกาด
spinach - ผักขม
morning glory - ผักบุ้ง
lettuce - ผักกาด
Butterhead - ผักกาดชนิดหนึ่ง
Crisphead lettuce, Iceberg lettuce - ผักกาดแก้ว
Chinese kale - คะน้า
asparagus - หน่อไม้ฝรั่ง
bamboo shoot - หน่อไม้
parsley - ทับศัพท์ฮับ คำนี้
bean - ถั่ว
soybean - ถั่วเหลือง
soybean - ถั่วเหลือง
bean sprouts - ถั่วงอก
almond ทับศัพท์เลยฮ้าบ
อันนี้กินผล
pumpkin - ฝักทอง
Wax gourd - ฝักเขียว
cucumber - แตงกวา
tomato - มะเขือเทศ
corn - ข้าวโพด
พืชหัว
carrot - แครอล
potato - มันฝรั่ง
taro - เผือก
potato - มันฝรั่ง
taro - เผือก
yam - มันเทศ
mushroom - เห็ด
เครื่องเทศ
lemon grass - ตะไคร้
Holy basil - กะเพรา
Sweet basil - โหระพา
celery - ขึ้นฉ่าย
ginger - ขิง
ginger - ขิง
spring onion - ต้นหอม
garlic - กระเทียม
garlic - กระเทียม
shallot - หอมแดง
onion - หอมใหญ่
chili - พริก
pepper - พริกไทย (vinegar - น้ำส้มสายชู)
chili - พริก
pepper - พริกไทย (vinegar - น้ำส้มสายชู)
Wax gourd - พริกหวาน
lime - มะนาวไทย
lemon - มะนาวฝรั่ง ลูกเหลืองๆ
lime - มะนาวไทย
lemon - มะนาวฝรั่ง ลูกเหลืองๆ
ผลไม้บ้าง
apple ไม่ต้องแปลมั้งอันนี้
cherry - เชอรี่
strawberry - สเตอเบอรี่
blackberry
blueberry
plum (ผลแห้งเรียกว่า prune)
persimmon - พลับ
pear - แพร์ ลูกที่รูปร่างคล้ายชมพู่ แต่ว่าสีเหลืองๆ เนื้อนิ่มๆ ไม่ได้กรอบเหมือนชมพู่หรอกฮับ
peach - ทับศัพท์อีกเช่นเดียวกัน ลูกแดงๆ คล้ายๆ ลูกแอปเปิ้ล แต่ว่าเนื้อออกรสเปรี้ยว
nectarine - อันนี้คล้ายกะลูกพีชมากฮับ แต่ว่าผิวเรียบ ในขณะที่ peach จะมีขนๆ
grape - องุ่น
melon อันนี้ก็คงไม่ต้องแปลมั้ง
watermelon - แตงโม
orange - ส้ม
pomelo - ส้มโอ
papaya - มะละกอ
durian - ทุเรียน (เดิมเป็นภาษาอินโดฮับ ฝรั่งก็เรียกทับศัพท์เหมือนกัน)
mango - มะม่วง
mangosteen - มังคุด
guava - ฝรั่ง
rambutan - เงาะ
tamarine - มะขาม
jackfruit - ขนุน
coconut - มะพร้าว
apple ไม่ต้องแปลมั้งอันนี้
cherry - เชอรี่
strawberry - สเตอเบอรี่
blackberry
blueberry
plum (ผลแห้งเรียกว่า prune)
persimmon - พลับ
pear - แพร์ ลูกที่รูปร่างคล้ายชมพู่ แต่ว่าสีเหลืองๆ เนื้อนิ่มๆ ไม่ได้กรอบเหมือนชมพู่หรอกฮับ
peach - ทับศัพท์อีกเช่นเดียวกัน ลูกแดงๆ คล้ายๆ ลูกแอปเปิ้ล แต่ว่าเนื้อออกรสเปรี้ยว
nectarine - อันนี้คล้ายกะลูกพีชมากฮับ แต่ว่าผิวเรียบ ในขณะที่ peach จะมีขนๆ
grape - องุ่น
melon อันนี้ก็คงไม่ต้องแปลมั้ง
watermelon - แตงโม
orange - ส้ม
pomelo - ส้มโอ
papaya - มะละกอ
durian - ทุเรียน (เดิมเป็นภาษาอินโดฮับ ฝรั่งก็เรียกทับศัพท์เหมือนกัน)
mango - มะม่วง
mangosteen - มังคุด
guava - ฝรั่ง
rambutan - เงาะ
tamarine - มะขาม
jackfruit - ขนุน
coconut - มะพร้าว
starfruit - มะเฟือง
tamarind - มะขาม
longan - ลำไย
longan - ลำไย
lichee - ลิ้นจี่
rose apple - ชมพู่
pineapple - สับปะรด
rose apple - ชมพู่
pineapple - สับปะรด
durian - ทุเรียน (คำนี้เป็นคำจากภาษาอินโด เราเองก็เรียกตามภาษาอินโดเหมือนกัน)
ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษของมันคืออะไรเหมือนกันค่ะ เช่น มะกอก, มะดัน, มะเฟือง และอีกหลายๆ มะ ลองกอง นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ใครรู้บอกกันด้วยเด้อ
ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษของมันคืออะไรเหมือนกันค่ะ เช่น มะกอก, มะดัน, มะเฟือง และอีกหลายๆ มะ ลองกอง นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ใครรู้บอกกันด้วยเด้อ
Email: Pattern
คำขึ้นต้น
Formal email ใช้ Dear name, To name,
Informal email ใช้ Hi name, Helo name,
ประโยคขึ้นต้น ที่ใช้อ้างถึงอะไรสักอย่างเพื่อจะทวนความจำ หรือทำให้ผู้รับรู้ว่าเรากำลังจะพูดถึงอะไรต่อไป
Formal email ใช้
With reference to + noun, ...
With regards to + noun, ...
Regarding + noun, ...
I'm writing with regard to + noun เช่น I'm writing with regard to your recent email.
Further to + noun, ...
Thank you for + noun ... เช่น Thank you for email of 2 November.
As per your request, ... เช่น As per your request, I've attached a copy of the agenda.
Informal email ใช้
Re + noun, ... เช่น Re your email, ...
In reply to + noun, ... เช่น In reply to your email, ...
Thanks for + noun. เช่น Thanks for your email.
(It was) Nice to hear from you yesterday. ...
As requested, ... เช่น As requested, here is my monthly status report.
Request
I'd appreciated it if + sentence เช่น I'd appreciated it if you could join us in the meeting on Tuesday. เป็น indirect sentence ที่ทำให้นุ่นนวลขึ้น แต่ก็จะทำให้ฟังห่างเหินขึ้นด้วย
Do you think you could (possible) + verb เช่น Do you think you could help me work out how to fix this bug? (indirect)
Would it be possible to + verb เช่น Would it be possible to extend the deadline until next Friday?
Could you (please) + verb เช่น Could you meet with everyone for a meeting on Tuesday? (สำหรับ routine request คือ คำขออันที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเค้า หรือเป็นคำขอปกติ ควรละ please ไว้ เนื่องจากไม่ควรใช้ flowery language มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการประชดประชันได้)
Would you mind + Ving เช่น Would you mind sending me another copy of the agenda?
Please + verb
Attachment
Please find attached my report (ระวัง attached ก็เป็นช่อง 3)
I have attached sth. for your perusal.
I have attached sth.
Thank you
I really appreciate + noun เช่น I really appreciate your help.
I appreciate + noun เช่น I appreciate your help on this.
Thank you for + noun เ่ช่น Thank you for your assistance in this matter. หรือ Thank you for your help.
Thank you.
Thanks.
Diplomatic สำหรับกรณีที่มีความผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นของเรา หรือของเค้า ก็ควรเขียนอย่างสุภาพ คือเราจะไม่บอกตรงๆ นะเอง
I'm afraid + sentence เช่น I'm afraid that we haven't received the payment yet. หรือ I'm afraid there will be a small delay.
It seems + sentence เช่น It seems we have a slight problem. (แปลว่า เรามี problem นะเอง)
I think + sentence เช่น I think there may be an issue here. (แปลว่า เราไม่เห็นด้วย)
To be honest, I'm not sure + sentence เช่น To be honest, I'm not sure we can do that (แปลว่า เราไม่สามารถทำแบบนั้น อาจจะเราทำไม่ได้ หรือเราไม่ทำ ก็ได้)
Perhaps we should think about + Ving - ออกแนวชักชวน ของแนวร่วม เช่น Perhaps we should think about cancelling the project. (แปลว่า อยากจะ cancel แหละ แต่บอกว่า ลองคิดดูมั้ย สำหรับ cancel นี้ประหลาดค่ะ สำหรับ British ใช้ cancelling เป็น ll แต่ American ใช้ canceling ก็นะ อยู่ที่เราจะใช้ตามหลักของอะไร)
Wouldn't it be better to + verb เช่น Wouldn't it be better to ask Paul. (แปลว่า ไปถาม Paul ซะ ไป๊)
Unfortunately, + sentence - ออกแนวโทษโชคชะตา ซะงั้น ไม่มีใครผิดหรอก
I apologize for + noun เช่น I apologize for any inconvenience caused. อันนี้ขอโทษกันตรงๆ (อย่าลืมว่า caused ข้างหลังเป็นช่อง 3 นะค่ะ)
หรือ ตัวอย่างประโยคอื่นๆ เช่น
Actually, that doesn't give us much time (แปลว่า เรามีเวลานิดเดียวเอง จริงๆ นะ)
That might be quite expensive. (แปลว่า That's very expensive แต่บอกอ้อมๆ ว่า น่าจะแพงทีเดียวนะ -- ตอแหลจริงๆ)
For future contact
I look forward to + Ving เช่น I look forward to receiving your reply.
Look forward to + Ving เช่น Look forward to seeing you next week.
I'm looking forward to + Ving เช่น I'm looking forward to seeing you in the meeting สำหรับการใช้ looking แทน look เป็นการแสดงว่ากำลัีงใจจดใจจ่อ รอจะพบคุณอยู่นะ มันเห็นภาพมากกว่า look เฉยๆ
Looking forward to + Ving เช่น Looking forward to hearing from you.
I hope to + verb เช่น I hope to hear from you soon.
Hope to + verb เช่น Hope to see you then. (informal)
See you then. (informal)
If you would like any additional information, please do not hesitate to contact me.
If you have any questions/queries, please feel free to contact me.
If you have any questions/queries, please feel free to let me know. (informal)
Let me you if you require any further information.
คำลงท้าย
Sincerely yours,
Best regards,
Regards,
Cheers, (informal)
Formal email ใช้ Dear name, To name,
Informal email ใช้ Hi name, Helo name,
ประโยคขึ้นต้น ที่ใช้อ้างถึงอะไรสักอย่างเพื่อจะทวนความจำ หรือทำให้ผู้รับรู้ว่าเรากำลังจะพูดถึงอะไรต่อไป
Formal email ใช้
With reference to + noun, ...
With regards to + noun, ...
Regarding + noun, ...
I'm writing with regard to + noun เช่น I'm writing with regard to your recent email.
Further to + noun, ...
Thank you for + noun ... เช่น Thank you for email of 2 November.
As per your request, ... เช่น As per your request, I've attached a copy of the agenda.
Informal email ใช้
Re + noun, ... เช่น Re your email, ...
In reply to + noun, ... เช่น In reply to your email, ...
Thanks for + noun. เช่น Thanks for your email.
(It was) Nice to hear from you yesterday. ...
As requested, ... เช่น As requested, here is my monthly status report.
Request
I'd appreciated it if + sentence เช่น I'd appreciated it if you could join us in the meeting on Tuesday. เป็น indirect sentence ที่ทำให้นุ่นนวลขึ้น แต่ก็จะทำให้ฟังห่างเหินขึ้นด้วย
Do you think you could (possible) + verb เช่น Do you think you could help me work out how to fix this bug? (indirect)
Would it be possible to + verb เช่น Would it be possible to extend the deadline until next Friday?
Could you (please) + verb เช่น Could you meet with everyone for a meeting on Tuesday? (สำหรับ routine request คือ คำขออันที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเค้า หรือเป็นคำขอปกติ ควรละ please ไว้ เนื่องจากไม่ควรใช้ flowery language มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการประชดประชันได้)
Would you mind + Ving เช่น Would you mind sending me another copy of the agenda?
Please + verb
Attachment
Please find attached my report (ระวัง attached ก็เป็นช่อง 3)
I have attached sth. for your perusal.
I have attached sth.
Thank you
I really appreciate + noun เช่น I really appreciate your help.
I appreciate + noun เช่น I appreciate your help on this.
Thank you for + noun เ่ช่น Thank you for your assistance in this matter. หรือ Thank you for your help.
Thank you.
Thanks.
Diplomatic สำหรับกรณีที่มีความผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นของเรา หรือของเค้า ก็ควรเขียนอย่างสุภาพ คือเราจะไม่บอกตรงๆ นะเอง
I'm afraid + sentence เช่น I'm afraid that we haven't received the payment yet. หรือ I'm afraid there will be a small delay.
It seems + sentence เช่น It seems we have a slight problem. (แปลว่า เรามี problem นะเอง)
I think + sentence เช่น I think there may be an issue here. (แปลว่า เราไม่เห็นด้วย)
To be honest, I'm not sure + sentence เช่น To be honest, I'm not sure we can do that (แปลว่า เราไม่สามารถทำแบบนั้น อาจจะเราทำไม่ได้ หรือเราไม่ทำ ก็ได้)
Perhaps we should think about + Ving - ออกแนวชักชวน ของแนวร่วม เช่น Perhaps we should think about cancelling the project. (แปลว่า อยากจะ cancel แหละ แต่บอกว่า ลองคิดดูมั้ย สำหรับ cancel นี้ประหลาดค่ะ สำหรับ British ใช้ cancelling เป็น ll แต่ American ใช้ canceling ก็นะ อยู่ที่เราจะใช้ตามหลักของอะไร)
Wouldn't it be better to + verb เช่น Wouldn't it be better to ask Paul. (แปลว่า ไปถาม Paul ซะ ไป๊)
Unfortunately, + sentence - ออกแนวโทษโชคชะตา ซะงั้น ไม่มีใครผิดหรอก
I apologize for + noun เช่น I apologize for any inconvenience caused. อันนี้ขอโทษกันตรงๆ (อย่าลืมว่า caused ข้างหลังเป็นช่อง 3 นะค่ะ)
หรือ ตัวอย่างประโยคอื่นๆ เช่น
Actually, that doesn't give us much time (แปลว่า เรามีเวลานิดเดียวเอง จริงๆ นะ)
That might be quite expensive. (แปลว่า That's very expensive แต่บอกอ้อมๆ ว่า น่าจะแพงทีเดียวนะ -- ตอแหลจริงๆ)
For future contact
I look forward to + Ving เช่น I look forward to receiving your reply.
Look forward to + Ving เช่น Look forward to seeing you next week.
I'm looking forward to + Ving เช่น I'm looking forward to seeing you in the meeting สำหรับการใช้ looking แทน look เป็นการแสดงว่ากำลัีงใจจดใจจ่อ รอจะพบคุณอยู่นะ มันเห็นภาพมากกว่า look เฉยๆ
Looking forward to + Ving เช่น Looking forward to hearing from you.
I hope to + verb เช่น I hope to hear from you soon.
Hope to + verb เช่น Hope to see you then. (informal)
See you then. (informal)
If you would like any additional information, please do not hesitate to contact me.
If you have any questions/queries, please feel free to contact me.
If you have any questions/queries, please feel free to let me know. (informal)
Let me you if you require any further information.
คำลงท้าย
Sincerely yours,
Best regards,
Regards,
Cheers, (informal)
Pronunciation: -s, -es
สำหรับคำนามพหูพจน์ในภาษาอังกฤษจะเติม -s หรือ -es ต่อท้าย ขึ้นอยูกับว่า คำลงท้ายด้วยอะไร
คำที่ลงท้ายด้วย -zz, -ss, -ch, -sh จะต้องเติม -es
คำที่ลงท้ายด้วยตัวอื่นๆ สามารถเติม -s อย่างเดียว
นอกจากนั้นแล้ว คำกริยาที่ใช้กับประธานเอกพจน์ซึ่งต้องเติม -s หรือ -es ก็สามารถใช้กฎเดียวกันได้
แต่การ pronunciation สำหรับที่เติม -s หรือ -es แบ่งเป็น 3 ประเภท พยายามใช้ฟังจากเสียงท้ายของคำนั้นๆ เพราะการดูจากคำลงท้ายเป็นแค่แนะนำเท่านั้น ไม่ได้เป็นกฎตายตัว ดังนี้
/iz/
ส่วนใหญ่เป็นคำที่เมื่อเติม -s หรือ -es แล้วทำให้กลายเป็นคำที่ลงท้ายด้วย -es ยกเว้นอยู่บางคำ เช่น clothes, gloves แม้ว่าจะลงด้วย -es แต่ว่าอยู่ในกลุ่มที่สองค่ะ ไม่ใช่กลุ่มนี้ ดังนั้นการฟังจากเสียงท้ายจึงดีกว่าดูด้วยคำลงท้าย ซึ่งคำในกลุ่มนี้จะมีเสียงแบบที่เรียกว่า hissing หรือ buzzing sound ตอนลงท้าย
เสียง 1 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -s, -ss เช่น buses, misses, passes
เสียง 2 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -zz, -ze, -se เช่น buzzes, sneezes, refuses
เสียง 3 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -sh เช่น crashes, pushes, washes, wishes
เสียง 4 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -ch เช่น catches, churches, watches
เสียง 5 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -ge, -j เช่น lodges, messages
/z/
เป็นคำที่ลงท้ายด้วย voiced sound หรือตัวลงท้ายมีเสียงตอนออกเสียง อาจจะฟังงงๆ นิดนึง แต่ว่านี้เป็นหลักใหญ่ๆ เลย เพราะสำหรับคำที่ลงท้ายไม่ออกเสียงจะอยู่ในกลุ่มถัดไป
เสียง 1 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -b เช่น pubs, labs
เสียง 2 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -d เช่น words
เสียง 3 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -g เช่น pigs
เสียง 4 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -v เช่น knives, gloves, loves
เสียง 5 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -the เช่น bathes
เสียง 6 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -l เช่น bells, bills, walls
เสียง 7 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -m เช่น times, rooms
เสียง 8 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -n เช่น tins, sons, turns
เีสียง 9 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -ng เช่น brings, kings, things
เสียง 10 เป็นกลุ่มคำที่ลงท้ายด้วย vowel sound เช่น bottles, boys, lies, ways, cars
/s/
กลุ่มสุดท้าย ก็คือคำที่ลงท้ายด้วย voiceless sound
เสียง 1 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -p เช่น envelopes, tops, lips, cups
เสียง 2 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -t เช่น boats, dates, cats
เสียง 3 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -k เช่น clocks, desks, walks
เสียง 4 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -f เช่น laughs (ไม่ต้องแปลกใจนะค่ะ คำนี้ลงท้ายด้วย gh ก็จริง แต่ว่าเป็นเสียง /f/)
เสียง 5 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -th เช่น baths, tenths
Reference:
BBC - The Flatmates - Language Point: Pronouncing 's'
The sounds of English and the International Phonetic Alphabet
คำที่ลงท้ายด้วย -zz, -ss, -ch, -sh จะต้องเติม -es
คำที่ลงท้ายด้วยตัวอื่นๆ สามารถเติม -s อย่างเดียว
นอกจากนั้นแล้ว คำกริยาที่ใช้กับประธานเอกพจน์ซึ่งต้องเติม -s หรือ -es ก็สามารถใช้กฎเดียวกันได้
แต่การ pronunciation สำหรับที่เติม -s หรือ -es แบ่งเป็น 3 ประเภท พยายามใช้ฟังจากเสียงท้ายของคำนั้นๆ เพราะการดูจากคำลงท้ายเป็นแค่แนะนำเท่านั้น ไม่ได้เป็นกฎตายตัว ดังนี้
/iz/
ส่วนใหญ่เป็นคำที่เมื่อเติม -s หรือ -es แล้วทำให้กลายเป็นคำที่ลงท้ายด้วย -es ยกเว้นอยู่บางคำ เช่น clothes, gloves แม้ว่าจะลงด้วย -es แต่ว่าอยู่ในกลุ่มที่สองค่ะ ไม่ใช่กลุ่มนี้ ดังนั้นการฟังจากเสียงท้ายจึงดีกว่าดูด้วยคำลงท้าย ซึ่งคำในกลุ่มนี้จะมีเสียงแบบที่เรียกว่า hissing หรือ buzzing sound ตอนลงท้าย
เสียง 1 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -s, -ss เช่น buses, misses, passes
เสียง 2 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -zz, -ze, -se เช่น buzzes, sneezes, refuses
เสียง 3 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -sh เช่น crashes, pushes, washes, wishes
เสียง 4 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -ch เช่น catches, churches, watches
เสียง 5 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -ge, -j เช่น lodges, messages
/z/
เป็นคำที่ลงท้ายด้วย voiced sound หรือตัวลงท้ายมีเสียงตอนออกเสียง อาจจะฟังงงๆ นิดนึง แต่ว่านี้เป็นหลักใหญ่ๆ เลย เพราะสำหรับคำที่ลงท้ายไม่ออกเสียงจะอยู่ในกลุ่มถัดไป
เสียง 1 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -b เช่น pubs, labs
เสียง 2 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -d เช่น words
เสียง 3 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -g เช่น pigs
เสียง 4 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -v เช่น knives, gloves, loves
เสียง 5 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -the เช่น bathes
เสียง 6 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -l เช่น bells, bills, walls
เสียง 7 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -m เช่น times, rooms
เสียง 8 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -n เช่น tins, sons, turns
เีสียง 9 เป็นกลุ่มคำเสียงท้ายเป็น -ng เช่น brings, kings, things
เสียง 10 เป็นกลุ่มคำที่ลงท้ายด้วย vowel sound เช่น bottles, boys, lies, ways, cars
/s/
กลุ่มสุดท้าย ก็คือคำที่ลงท้ายด้วย voiceless sound
เสียง 1 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -p เช่น envelopes, tops, lips, cups
เสียง 2 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -t เช่น boats, dates, cats
เสียง 3 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -k เช่น clocks, desks, walks
เสียง 4 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -f เช่น laughs (ไม่ต้องแปลกใจนะค่ะ คำนี้ลงท้ายด้วย gh ก็จริง แต่ว่าเป็นเสียง /f/)
เสียง 5 เป็นกลุ่มคำที่เสียงท้ายเป็น -th เช่น baths, tenths
Reference:
BBC - The Flatmates - Language Point: Pronouncing 's'
The sounds of English and the International Phonetic Alphabet
Phrasal Verb
Phrasal verb ง่ายๆ เลยนะ เป็น verb แต่ว่าประกอบด้วยคำมากกว่า 1 คำ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็น 2 คำ คือ verb + preposition แต่ที่สำคัญก็คือความหมายของมันจะเปลี่ยนไปจาก verb ตัวเดิม แล้วก็อาจจะทำให้เราสับสนอยู่บ่อยๆ ใน BBC จะแบ่งเป็น 4 ประเภท แต่เราขอแ่บ่งตามสไตร์ลเราละกันนะ ได้ 3 ประเภท
break up (with sb.) - to end a relationship with somebody ใ้ช้ได้ทั้งเป็น intransitive และ transitive
carry on (with sth) คือให้ทำ sth ต่อไป
calm down - ทำให้สงบ
find out - to get some information about sth./sb. by asking, reading, etc. เช่น She'd been seeing the boy for a while, but didn't want her parents to find out.
go down - to fall to the ground เช่น Our group turnover's gone down again.
hang on - to wait for a short time or stop what they are doing เช่น Hang on. I'm not quite ready
hold on - used to tell sb to wait or stop เช่น Hold on a minute while I get my breath back.
keep on - to continue to do something or to do something repeatedly เช่น The rain kept on all night.
let on (to sb.) (about sth.) - เปิดเผยความลับ เช่น No-one let on about the party, so she was really surprised. หรือ I'm getting married next week, but please don't let on to anyone.
pack up - (informal BrE) to stop working เช่น His lungs pack up แปลว่า ปอดเค้าทำงานไม่ได้แล้ว
ประเภทที่ 1: intransitive verb ก็คือ phrasal verb ที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ
ร่วมรวบมาให้เท่าที่รู้นะค่ะbreak up (with sb.) - to end a relationship with somebody ใ้ช้ได้ทั้งเป็น intransitive และ transitive
carry on (with sth) คือให้ทำ sth ต่อไป
calm down - ทำให้สงบ
find out - to get some information about sth./sb. by asking, reading, etc. เช่น She'd been seeing the boy for a while, but didn't want her parents to find out.
go down - to fall to the ground เช่น Our group turnover's gone down again.
hang on - to wait for a short time or stop what they are doing เช่น Hang on. I'm not quite ready
hold on - used to tell sb to wait or stop เช่น Hold on a minute while I get my breath back.
keep on - to continue to do something or to do something repeatedly เช่น The rain kept on all night.
let on (to sb.) (about sth.) - เปิดเผยความลับ เช่น No-one let on about the party, so she was really surprised. หรือ I'm getting married next week, but please don't let on to anyone.
pack up - (informal BrE) to stop working เช่น His lungs pack up แปลว่า ปอดเค้าทำงานไม่ได้แล้ว
pick up - to get better, stronger; to improve เช่น The wind is picking up now.
run out (of sth) แปลว่า หมดเหมือนกันก็ได้ เช่น The water ran out. ใช้ได้ทั้งมีกรรมและ ไม่มีกรรมตาม
run out (of sth) แปลว่า หมดเหมือนกันก็ได้ เช่น The water ran out. ใช้ได้ทั้งมีกรรมและ ไม่มีกรรมตาม
stand around - stand somewhere and not do anything อ่านแล้วน่าจะเข้าใจได้เลยนะค่ะ ตัวอย่างประโยค I don't have time to stand around waiting for you.
settle down - ลงหลักปักฐาน เช่น They finally decided to settle down in Mexico.
settle down - ลงหลักปักฐาน เช่น They finally decided to settle down in Mexico.
stand down - ถอนตัว(จากตำแหน่ง) ตาม dictionary จะแปลว่า to leave a job or position เช่น He stood down to make way for someone younger.
stand out - โดดเด่น เป็นที่สังเกต เช่น The lettering stood out well against the dark background หรือ She's the sort of person who stands out in a crowd.
start off - begin เช่น The discussion started off mildly enough.
start off - begin เช่น The discussion started off mildly enough.
take off - คำนี้ แปลได้เยอะมากเลยค่ะ ใช้ได้ทั้งมีกรรมและไม่มีกรรม ซึ่งความหมายก็จะต่างกันออกไป ถ้าใช้แบบไม่มีกรรม (1) สำหรับประธานที่เป็นเครื่องบินก็จะแปลว่า เครื่องบิน(ทะยาน)ขึ้น (2) ถ้าใช้กับคน ก็แปลว่า ออกจากที่นั่น โดยกระทันหัน ทันทีทันใด (3) หรือถ้าใช้กับอย่างอื่น อาจจะแปลได้ว่าประสบความสำเร็จ (ประหนึ่งว่ากำลังทะยานพุ่งไป ประมาณนั่น) เช่น Her singing career had just begun to take off. หรือ The plane took off at 8.30 a.m. หรือ When he saw me, he took off in the other direction. เดาดูเอานะค่ะว่า ประโยคไหนใช้แปลว่าอะไรบ้าง
take up - แปลว่า เริ่มทำ บางสิ่งบางอย่าง สำหรับกรณีที่ไม่มีกรรม เช่น The band's new album takes up where their last one left off.
turn off - to stop listening to or thinking about หรือว่าเลิกสนใจ เช่น I couldn't understand the lecture so I just turned off.
break sth.<-->off - to end sth. suddenly เช่น We shall have to break off these negotiations.
bring sth.<-->out - make sth. appear, produce sth., publish sth. เช่น Sony are bringing out a new product in December
build sth.<-->up - to create or develop sth เช่น We're trying to build up market share.
calm sb.<-->down - ทำให้สงบ คำนี้สามารถใช้เป็นแบบ ประเภทที่ 1 คือไม่ต้องมีกรรมก็ได้ ตัวอย่างสำหรับที่มีกรรม เช่น He took a few deep breaths to calm himself down.
call sth.<-->off - cancel เช่น They have called off their engagement (อันนี้เป็นตัวอย่างที่กรรมต่อท้าย แต่สามารถใช้สลับกันก็ได้ อย่างที่บอกไปแล้ว)
carry sth.<-->out - to do and complete a task เช่น We're carrying out tests on the system now.
cut sth.<-->down - ลด เช่น We need to cut the article down to 1000 words.
cut sth.<-->off - remove sth. from sth larger by cutting ก็คือเหมือนตัด(น้ำ, ไฟ) เช่น I cut off the water. หรือว่า I cut the water off. ก็ได้
draw sth.<-->up - to make or write sth what needs careful thought or planing
fix sth.<-->up - arrange เช่น We really must fix up a meeting to discuss on our pricing strategy.
go sth.<-->up - to be build เช่น New office buildings are going up everywhere.
keep on (doing sth) - นอกจากจะใช้แบบไม่มีกรรมได้แล้ว สามารถมีกรรมเป็นการกระทำ ซึ่งหมายถึงทำสิ่งนั้นต่อไป หรือทำซ้ำๆ เช่น The interviewer kept on asking her about her marriage to Paul McCartney.
keep sth.<-->up - to continue sth at the same, usually high, level เช่น It's important to keep your spirits up จริงๆ แล้ว keep up มีความหมายเยอะแยะมากมายเลย มีทั้งที่เป็น intransitive และ transitive
lay sb.<-->off - เลิกจ้าง
let sb.<-->down - to disappoint somebody by failing to do what you were expected to do, or promised to do. เช่น This machine won't let you down. หรือ He trudged home feeling lonely and let down.
open sth.<-->up - มีได้สองความหมายค่ะ (1) เปิดตัวให้ใช้ได้ เช่น The new catalogue will open up the market for our products. (2) ใช้สำหรับการเปิดร้าน เปิดดำเนินการธุระกิจ เช่น Tim would love to open up a little shop.
pick sth.<-->up - to get information or a skill by chance rather than making a deliberate effort ง่ายๆ เลย ก็คือ สามารถเข้าใจได้อย่างโดยไม่ต้องพยายาม ก็หมายถึงว่าเราอาจจะมีความสามารถทางด้านใดด้านหนึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจได้ โดยไม่ต้องพยายามเลย
เช่น You picked up English easily. หรือ You picked English up easily. ก็แปลว่าคุณสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพยายามเลย (อยากเป็นได้แบบนี้มั้งจัง)
put sth.<-->off - เลื่อนไป We've had to put off our wedding until September.
put sth.<-->on - to dress yourself in sth.
put sth.<-->up - to raise sth. or put it in a higher position เช่น to put up a flag
see sb.<-->off - to go to a station, an airport, etc. to say goodbye to sb. who starting a journey เช่น I'll see you off tomorrow, so I can drive you to the airport. นอกจากนี้ยังแปลว่า to force somebody to leave a place, for example by chasing them เช่น The dog saw them off in no time. หรือ The caretaker ran out and saw off the boys who had been damaging the fence.
set sth.<-->up - จัดตั้ง
take up - แปลว่า เริ่มทำ บางสิ่งบางอย่าง สำหรับกรณีที่ไม่มีกรรม เช่น The band's new album takes up where their last one left off.
turn off - to stop listening to or thinking about หรือว่าเลิกสนใจ เช่น I couldn't understand the lecture so I just turned off.
ประเภทที่ 2: transitive verb ก็คือต้องมีกรรมมารับ และกรรมนั้นสามารถใส่ไว้ระหว่าง verb และ preposition หรือว่า ใส่ไว้ต่อท้าย preposition เลยก็ได้
เช่นbreak sth.<-->off - to end sth. suddenly เช่น We shall have to break off these negotiations.
bring sth.<-->out - make sth. appear, produce sth., publish sth. เช่น Sony are bringing out a new product in December
build sth.<-->up - to create or develop sth เช่น We're trying to build up market share.
calm sb.<-->down - ทำให้สงบ คำนี้สามารถใช้เป็นแบบ ประเภทที่ 1 คือไม่ต้องมีกรรมก็ได้ ตัวอย่างสำหรับที่มีกรรม เช่น He took a few deep breaths to calm himself down.
call sth.<-->off - cancel เช่น They have called off their engagement (อันนี้เป็นตัวอย่างที่กรรมต่อท้าย แต่สามารถใช้สลับกันก็ได้ อย่างที่บอกไปแล้ว)
carry sth.<-->out - to do and complete a task เช่น We're carrying out tests on the system now.
cut sth.<-->down - ลด เช่น We need to cut the article down to 1000 words.
cut sth.<-->off - remove sth. from sth larger by cutting ก็คือเหมือนตัด(น้ำ, ไฟ) เช่น I cut off the water. หรือว่า I cut the water off. ก็ได้
draw sth.<-->up - to make or write sth what needs careful thought or planing
fix sth.<-->up - arrange เช่น We really must fix up a meeting to discuss on our pricing strategy.
go sth.<-->up - to be build เช่น New office buildings are going up everywhere.
keep on (doing sth) - นอกจากจะใช้แบบไม่มีกรรมได้แล้ว สามารถมีกรรมเป็นการกระทำ ซึ่งหมายถึงทำสิ่งนั้นต่อไป หรือทำซ้ำๆ เช่น The interviewer kept on asking her about her marriage to Paul McCartney.
keep sth.<-->up - to continue sth at the same, usually high, level เช่น It's important to keep your spirits up จริงๆ แล้ว keep up มีความหมายเยอะแยะมากมายเลย มีทั้งที่เป็น intransitive และ transitive
lay sb.<-->off - เลิกจ้าง
let sb.<-->down - to disappoint somebody by failing to do what you were expected to do, or promised to do. เช่น This machine won't let you down. หรือ He trudged home feeling lonely and let down.
open sth.<-->up - มีได้สองความหมายค่ะ (1) เปิดตัวให้ใช้ได้ เช่น The new catalogue will open up the market for our products. (2) ใช้สำหรับการเปิดร้าน เปิดดำเนินการธุระกิจ เช่น Tim would love to open up a little shop.
pick sth.<-->up - to get information or a skill by chance rather than making a deliberate effort ง่ายๆ เลย ก็คือ สามารถเข้าใจได้อย่างโดยไม่ต้องพยายาม ก็หมายถึงว่าเราอาจจะมีความสามารถทางด้านใดด้านหนึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจได้ โดยไม่ต้องพยายามเลย
เช่น You picked up English easily. หรือ You picked English up easily. ก็แปลว่าคุณสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพยายามเลย (อยากเป็นได้แบบนี้มั้งจัง)
put sth.<-->off - เลื่อนไป We've had to put off our wedding until September.
put sth.<-->on - to dress yourself in sth.
put sth.<-->up - to raise sth. or put it in a higher position เช่น to put up a flag
see sb.<-->off - to go to a station, an airport, etc. to say goodbye to sb. who starting a journey เช่น I'll see you off tomorrow, so I can drive you to the airport. นอกจากนี้ยังแปลว่า to force somebody to leave a place, for example by chasing them เช่น The dog saw them off in no time. หรือ The caretaker ran out and saw off the boys who had been damaging the fence.
set sth.<-->up - จัดตั้ง
sort sth.<-->out - to deal with sb.'s own problem in a satisfactory way เช่น Have you managed to sort out the problem with out computers?
take sth.<-->off - สำหรับ take off ที่มีกรรม จะแปลว่า ถอดออก ซึ่งตรงกันข้ามกับ put on ที่แปลว่า ส่วนใส่ เช่น He took off his clothes and got into the bath. นอกจากนี้ก็ยังแปลว่า ถอดถอน เมื่อใช้กับคน หรือสิ่งของอย่างอื่น เช่น The officer leading the investigation has been taken off the case.
take sth.<-->up - สำหรับกรณีที่มีกรรม ก็หมายถึงเริ่ม เ่ช่นกัน โดยใช้กับงานอดิเรก กีฬา หรืองาน เช่น He takes up his duties next week. หรือ They've taken up golf.
tidy sth.<-->up - จัดการให้สะอาด เรียบร้อย ประมาณนี้ค่ะ เช่น I tidied up the report before handing it in. หรือใช้กับการจัดห้อง ก็ได้ เช่น I need to tidy up the kitchen
turn sb.<-->down - ปฏิเสธ เช่น Why did she turn down your invitation? หรือนอกจากนั้นจะแปลว่า ลด (เสียง, ความร้อน, ฯลฯ) เช่น Could you please turn the volumn down?
turn sth.<-->off - ปิด เช่น ปิดไฟ ปิดน้ำ ปิดแก๊ส โดยการหมุนสวิทชต์ ตัวอย่างประโยคเช่น I turned off the water. หรือว่าจะใช้ I turned the water off. ก็ได้
แต่ถ้าเราใช้ turn off กับ คน เช่น This song really turned me off จะแปลว่า เพลงนี้น่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ
สำหรับคำในประเภทนี้เมื่อใช้ pronoun เป็นกรรม จะต้องใช้แบบแยก verb กับ preposition เสมอ เช่น
I turned if off.
I cut if off.
I pick it up easily.
จะใช้แบบI pick off it. ไม่ได้
ประเภทนี้จะใกล้เคียงกับประเภทที่ 3 มาก บางคำคิดว่าเป็นความนิยมที่คนส่วนใหญ่ มักใช้คำในประเภทที่ 2 แบบวาง object ไว้ระหว่างกลางมากกว่า ทำให้แยกได้ค่อยข้างลำบาก จนบางครั้งก็สับสนอยู่เหมือนกัน ถ้าใส่คำไหนผิดถูก ก็ช่วยส่งมาบอกด้วยก็จะเป็นพระคุณนะค่ะ เป็นวิทยาธานสำหรับคนอื่นๆ ด้วย แต่สำหรับที่เขียนไว้นี้จะยึดตาม dictionary เป็นหลักค่ะ
ask sb. out - to invite someone to something, such as dinner or the theatre, for a romantic date. เช่น He felt nervous about asking her out.
stand sb. up - to deliverately not meet somebody you have arranged to meet, especially somebody you are having a romantic relationship with. เช่น I waited for her for half an hour before I realised she had stood me up.
break up (with sb) - to end a relationship with somebody ใ้ช้ได้ทั้งเป็น intransitive และ transitive
carry on (with sth) คือให้ทำ sth ต่อไป ในกรณีที่มีกรรมมารับ ก็เช่น Carry on with your job.
cheat on sb - to have a secret sexual relationship with somebody else (นอกจากสามี ภรรยา แฟน) เช่น He's cheating on his wife.
come down with sth - แปลว่า ไม่สบาย แต่ไม่มากนัก เช่น I think I'm coming down with flu.
take sth.<-->off - สำหรับ take off ที่มีกรรม จะแปลว่า ถอดออก ซึ่งตรงกันข้ามกับ put on ที่แปลว่า ส่วนใส่ เช่น He took off his clothes and got into the bath. นอกจากนี้ก็ยังแปลว่า ถอดถอน เมื่อใช้กับคน หรือสิ่งของอย่างอื่น เช่น The officer leading the investigation has been taken off the case.
take sth.<-->up - สำหรับกรณีที่มีกรรม ก็หมายถึงเริ่ม เ่ช่นกัน โดยใช้กับงานอดิเรก กีฬา หรืองาน เช่น He takes up his duties next week. หรือ They've taken up golf.
tidy sth.<-->up - จัดการให้สะอาด เรียบร้อย ประมาณนี้ค่ะ เช่น I tidied up the report before handing it in. หรือใช้กับการจัดห้อง ก็ได้ เช่น I need to tidy up the kitchen
turn sb.<-->down - ปฏิเสธ เช่น Why did she turn down your invitation? หรือนอกจากนั้นจะแปลว่า ลด (เสียง, ความร้อน, ฯลฯ) เช่น Could you please turn the volumn down?
turn sth.<-->off - ปิด เช่น ปิดไฟ ปิดน้ำ ปิดแก๊ส โดยการหมุนสวิทชต์ ตัวอย่างประโยคเช่น I turned off the water. หรือว่าจะใช้ I turned the water off. ก็ได้
แต่ถ้าเราใช้ turn off กับ คน เช่น This song really turned me off จะแปลว่า เพลงนี้น่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ
สำหรับคำในประเภทนี้เมื่อใช้ pronoun เป็นกรรม จะต้องใช้แบบแยก verb กับ preposition เสมอ เช่น
I turned if off.
I cut if off.
I pick it up easily.
จะใช้แบบ
ประเภทนี้จะใกล้เคียงกับประเภทที่ 3 มาก บางคำคิดว่าเป็นความนิยมที่คนส่วนใหญ่ มักใช้คำในประเภทที่ 2 แบบวาง object ไว้ระหว่างกลางมากกว่า ทำให้แยกได้ค่อยข้างลำบาก จนบางครั้งก็สับสนอยู่เหมือนกัน ถ้าใส่คำไหนผิดถูก ก็ช่วยส่งมาบอกด้วยก็จะเป็นพระคุณนะค่ะ เป็นวิทยาธานสำหรับคนอื่นๆ ด้วย แต่สำหรับที่เขียนไว้นี้จะยึดตาม dictionary เป็นหลักค่ะ
ประเภทที่ 3: transitive verb ก็คือต้องมีกรรมมารับ และกรรมนั้นจะต้องวางไว้ระหว่าง verb และ preposition เท่านั้น
เช่นask sb. out - to invite someone to something, such as dinner or the theatre, for a romantic date. เช่น He felt nervous about asking her out.
stand sb. up - to deliverately not meet somebody you have arranged to meet, especially somebody you are having a romantic relationship with. เช่น I waited for her for half an hour before I realised she had stood me up.
ประเภทที่ 4: transitive verb เหมือนกันแ่ต่ว่า กรรมจะต้องอยู่ท้าย preposition เท่านั้นไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็น noun หรือ pronoun
เช่นbreak up (with sb) - to end a relationship with somebody ใ้ช้ได้ทั้งเป็น intransitive และ transitive
carry on (with sth) คือให้ทำ sth ต่อไป ในกรณีที่มีกรรมมารับ ก็เช่น Carry on with your job.
cheat on sb - to have a secret sexual relationship with somebody else (นอกจากสามี ภรรยา แฟน) เช่น He's cheating on his wife.
come down with sth - แปลว่า ไม่สบาย แต่ไม่มากนัก เช่น I think I'm coming down with flu.
count on sb - to trust sb. to do sth. or to be sure that sth will happen. เช่น I'm counting on you to help me.
cut down (on sth) - ความหมายเดียวกับ cut sth. down ในประเภท 2 ฮับ คือลดลง เช่น She's trying to cut down on cigarettes.
fall for sb - to be strongly attracted to somebody, to fall in leve with somebody เช่น He fell for her on the first date.
cut down (on sth) - ความหมายเดียวกับ cut sth. down ในประเภท 2 ฮับ คือลดลง เช่น She's trying to cut down on cigarettes.
fall for sb - to be strongly attracted to somebody, to fall in leve with somebody เช่น He fell for her on the first date.
get over sth - แปลว่า overcome หรือ return to your usual state of health ก็ืคือหายป่วย นะเอง เช่น When he gets over the flu, he'll go back to work.
go out with sb - to have a romantic relationship with somebody เช่น Tom has been going out with Kate for six weeks
keep off sth - to prevent sth. เช่น Keep off the grass. ก็แปลว่า ห้ามเหยียบ นะเอง
move on (to sth) - to start doing or discussing sth. new. ซึ่งปกติจะใช้ เป็น move on to sth เช่น Let's move on to next topic.
point out sth - to mention sth. in order to give sb. information about it or make them notice it เช่น He pointed out the danger of driving alone.
run out (of sth) แปลว่าหมด เช่น We run out of water.
stand for sth. - ทนกับ(บางสิ่งบางอย่าง) หรือ ยอมปล่อยให้เกิดขึ้น เช่น You're bully and I won't stand for it any longer!
keep off sth - to prevent sth. เช่น Keep off the grass. ก็แปลว่า ห้ามเหยียบ นะเอง
move on (to sth) - to start doing or discussing sth. new. ซึ่งปกติจะใช้ เป็น move on to sth เช่น Let's move on to next topic.
point out sth - to mention sth. in order to give sb. information about it or make them notice it เช่น He pointed out the danger of driving alone.
run out (of sth) แปลว่าหมด เช่น We run out of water.
stand for sth. - ทนกับ(บางสิ่งบางอย่าง) หรือ ยอมปล่อยให้เกิดขึ้น เช่น You're bully and I won't stand for it any longer!
stand for sth - ย่อมาจาก (เป็นอีกความหมายหนึ่ง) เช่น FAQ stands for 'Frequently Asked Questions'.
stand over so - stand very near someone and watch them very closely ไม่รู้จะแปลว่าภาษาไทยให้ง่ายได้ยังไงจริงๆ อ่านภาษาอังกฤษเอา แล้วน่าจะเห็นภาพมากกว่านะค่ะ อ่านแล้วนึกถึงเจ้านายเลยอ่ะ I feel very creepy every time my boss stand over me.
stand up to sb - เผชิญหน้ากับ(บางคน) เช่น He tried to stand up to his boss.
start off at sb (about sth) | start off (at sb) about sth - เริ่มที่จะบ่น เช่น She started on at me again about getting some new clothes.
start off at sb (about sth) | start off (at sb) about sth - เริ่มที่จะบ่น เช่น She started on at me again about getting some new clothes.
take on sth - to decide to do sth; to agree to be responsible for sth. คือ ตัดสินใจที่จะรับหรือรับผิดชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น I can't take on any extra work.
think of sth - imagine an actual or a possible situation เช่น I'm thinking of leaving the company. (คิดจริงๆ นะเนี้ยะ เซ็งชีวิต)
watch out (for sth) นอกจากจะใ้ช้เป็นประโยคดุ้นๆ แล้ว ก็สามารถแปลว่า to make an effort to be aware of what is happening เช่น The cashiers were asked to watch out for forged banknotes.
work on - busy doing sth เช่น I'm working on new project. หรือ I'm working on it.
แต่ phrasal verb บางตัวสามารถเป็นได้มากกว่า 1/ ประเภท เช่น
phrase ที่เป็น intransitive ก็สามารถทำให้เป็น transitive ได้ แต่จะต้องมี preposition ต่อท้าย ก่อนหน้ากรรมที่จะมารับ
carry on สามารถใช้เป็น intransitive verb ก็ได้ แปลว่าทำที่ทำอยู่ต่อไป หรือ carry on with sth ก็ได้ คือให้ทำ sth ต่อไป เช่น Carry on with your job. ก็คือเป็นประเภทที่ 1 และ 3
run out นี่ก็เหมือนกันค่ะ เป็น intransitive verb ก็ได้ หรือว่าจะเป็น transitive แบบที่ต้องมีกรรมต่อท้าย ใช้เป็น run out of sth ก็ได้ เช่น The water ran out. หรือ We run out of water.
watch out นอกจากจะใ้ช้เป็นประโยคดุ้นๆ แล้ว ก็สามารถแปลว่า to make an effort to be aware of what is happening โดยใช้ watch out for เช่น The cashiers were asked to watch out for forged banknotes.
หรือบางคำที่เป็น transitive แต่เมื่อเป็น intransitive แล้วจะมีความหมายต่างออกไป
turn off สามารถใช้เป็น intransitive ได้เหมือนกัน จากการเปิด dict นะค่ะ แต่ไ่ม่ได้แปลว่าปิด แต่แปลว่า to stop listening to or thinking about หรือว่าเลิกสนใจ เช่น I couldn't understand the lecture so I just turned off.
pick up นี่ก็ใช้เป็น intrasitive ก็ได้เหมือนกัน แปลว่า to get better, stronger; to improve เช่น The wind is picking up now.
คำอื่นๆ ที่สามารถเป็นได้ทั้งสองหมดก็มีอีก แต่ได้รวบรวบไปลงในแต่ละหมวดไว้ให้เลยค่ะ
Reference:
BBC - The Flatmates - Language Point: Phrasal Verb 2
Phrasal verbs - up and down
think of sth - imagine an actual or a possible situation เช่น I'm thinking of leaving the company. (คิดจริงๆ นะเนี้ยะ เซ็งชีวิต)
watch out (for sth) นอกจากจะใ้ช้เป็นประโยคดุ้นๆ แล้ว ก็สามารถแปลว่า to make an effort to be aware of what is happening เช่น The cashiers were asked to watch out for forged banknotes.
work on - busy doing sth เช่น I'm working on new project. หรือ I'm working on it.
แต่ phrasal verb บางตัวสามารถเป็นได้มากกว่า 1/ ประเภท เช่น
phrase ที่เป็น intransitive ก็สามารถทำให้เป็น transitive ได้ แต่จะต้องมี preposition ต่อท้าย ก่อนหน้ากรรมที่จะมารับ
carry on สามารถใช้เป็น intransitive verb ก็ได้ แปลว่าทำที่ทำอยู่ต่อไป หรือ carry on with sth ก็ได้ คือให้ทำ sth ต่อไป เช่น Carry on with your job. ก็คือเป็นประเภทที่ 1 และ 3
run out นี่ก็เหมือนกันค่ะ เป็น intransitive verb ก็ได้ หรือว่าจะเป็น transitive แบบที่ต้องมีกรรมต่อท้าย ใช้เป็น run out of sth ก็ได้ เช่น The water ran out. หรือ We run out of water.
watch out นอกจากจะใ้ช้เป็นประโยคดุ้นๆ แล้ว ก็สามารถแปลว่า to make an effort to be aware of what is happening โดยใช้ watch out for เช่น The cashiers were asked to watch out for forged banknotes.
หรือบางคำที่เป็น transitive แต่เมื่อเป็น intransitive แล้วจะมีความหมายต่างออกไป
turn off สามารถใช้เป็น intransitive ได้เหมือนกัน จากการเปิด dict นะค่ะ แต่ไ่ม่ได้แปลว่าปิด แต่แปลว่า to stop listening to or thinking about หรือว่าเลิกสนใจ เช่น I couldn't understand the lecture so I just turned off.
pick up นี่ก็ใช้เป็น intrasitive ก็ได้เหมือนกัน แปลว่า to get better, stronger; to improve เช่น The wind is picking up now.
คำอื่นๆ ที่สามารถเป็นได้ทั้งสองหมดก็มีอีก แต่ได้รวบรวบไปลงในแต่ละหมวดไว้ให้เลยค่ะ
Reference:
BBC - The Flatmates - Language Point: Phrasal Verb 2
Phrasal verbs - up and down
Idiom
บางอันอาจจะไม่ใช่ idiom ในภาษาอังกฤษ แต่ว่าเป็นคำพูดของไทย ที่หาคำภาษาอังกฤษแทนด้วยยากๆ ก็พยายามจะรวบรวมไว้
thick-skinned (adjective) - พวกหนังหนา ด้าน ชา ไร้ความรู้สึก not easily to upset by criticism or unkind comments เช่น You have to be pretty thick-skinned to do this job.
headstrong (adjective) - หัวรุนแรง คำแปลในภาษาอังกฤษคือ be determined to do things their one way and refuses to listen to advice
sooner or later (adverb phrase) - ไม่ช้าก็เร็ว เช่น You can sit there watching TV for as long as you like but sooner or later you're going to have to wash the dishes so you might as well just get on with them now.
thick-skinned (adjective) - พวกหนังหนา ด้าน ชา ไร้ความรู้สึก not easily to upset by criticism or unkind comments เช่น You have to be pretty thick-skinned to do this job.
headstrong (adjective) - หัวรุนแรง คำแปลในภาษาอังกฤษคือ be determined to do things their one way and refuses to listen to advice
sooner or later (adverb phrase) - ไม่ช้าก็เร็ว เช่น You can sit there watching TV for as long as you like but sooner or later you're going to have to wash the dishes so you might as well just get on with them now.
from time to time (adverb phrase) - บางครั้งบางคราว เช่น We used to go out together almost every weekend but now that she's got kids I only see her from time to time.
time after time (adverb phrase) - ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น You will get a perfect result time after time if you follow these instructions.
stand the test of time (verb phrase) - ผ่านการพิสูจน์ด้วยกาลเวลา เช่น Everyone loves that film just now but will it actually stand the test of time?
time will tell (sentence) - เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เช่น Only time will tell whether she made the right decision sacking Joe and hiring Frank
เช่น "I worked too hard on that last project. But on this new project I am working even harder!" Reply: "Out of the frying pan and into the fire."
to drag your feet (verb phrase) - to do something slowly with little enthusiasm because you don't want to do it
เช่น There's no point dragging your feet. You'll have to tidy your room eventually.
to keep / have a foot in both camps (verb phrase) - to be involved with two groups of people who have different aims, opinions or interests คล้ายๆ กับ เหยียบเรือสองแคม แต่ว่าใช้เท้าขาเดียว
เช่น The football manager used to be a player himself. He tries to keep a foot in both camps but it's difficult for him not to always agree with what the other managers say.
have sth at your fingertips (verb phrase) - to have information, knowledger, etc. that is needed in a particular situation and be able to find it easily and use it quickly หรือเรียกได้ว่าเหมือนมีข้อมูลอยู่เพียง่ปลายนิ้ว จะเรียกมาใช้เมื่อไร ก็ได้เืมื่อนั้น
เช่น After the money was stolen in the office, she point the finger at her colleague. เรียกได้ว่าคิดว่าเพื่อนร่วมงานต้องเอาไปแหง๋ๆ
point a/the finger at sb (verb phrase) - accuse sb to doing (bad) sth. เรียกได้ว่าชี้หน้าด่า แต่ฝรั่งเค้าไม่ถึงขั้นนั้น เรียกว่าแค่กล่าวหาว่าคนนั้นเป็นคนร้าย
on the fingers of one hand (object phrase) - เรียกว่าน้อยมาก จนสามารถนับหมดโดยนิ้วของมือเดียว
lay a finger on sb (verb phrase) - (usually used in negative sentences) to touch db with the intention of hurting them plysically ก็คือ (ห้าม)แตะต้อง นั่นเองเช่น You'd better not lay a finger on him. คุณอย่าแตะต้องเค้าดีกว่า ประมาณว่าถ้าทำร้ายคนนี้เนี้ยะ มีเรื่อง
have a finger in every pie (verb phrase) - to be involved in a lot of defferent activities and have influence over them, especially when other people think that this is annoying ภาษาชาวบ้าน ก็แส่ไปทุกเรื่องเลย
have/keep your finger on the pulse (of sth) (verb phrase) - to always be aware of the most recent development in a particular situation ก็คือรู้ความเคลื่อนไหวในวงการตลอดเลย ซึ่งก็จะเป็นวงการไหน ก็อยู่ที่ of sth ด้านหลัง
cross your fingers (verb phrase) - to hope that your plans will be successful
green fingers (noun) - คนนิ้วเขียว ก็คือคนที่ปลูกอะไร ก็งอกงาม
Reference:
Idiom with foot
Idiom: fingers and thumbs
Subscribe to:
Posts (Atom)