จริงๆ แล้วเป็นประโยคที่ไว้ถาม เมื่อเราฟังไม่ทัน ตามไม่ทันการประชุมมากกว่าฮับ
Sorry. - เริ่มต้นด้วย Sorry ก่อนจะ interrupt การประชุม
I missed that.
I didn't catch that.
I don't understand.
I'm not with you. - อย่าตลกนะค่ะ เค้าใช้แบบนี้จริงๆ
I don't follow you.
I don't quite see what you mean.
Could you say it again?
Could you go over that again?
Could you run through that again?
Could you explain what you mean?
Could you be a bit more specific?
Could you slow down a bit?
Could you speak up please?
Adjective: Quantifier, Artical, Demonstrative
Uncountable noun | Countable noun | ||
---|---|---|---|
Singular noun | Plural noun | ||
Qualifier | all any, some more, most, most of enough a lot of, lots of plenty of the other, other a little, little much a great deal of | each, every | all any, some more, most, most of enough a lot of, lots of plenty of the other, other a few, few many both, both of, several a number of the number of |
Artical | the | a, an the | the |
Demonstrative | this that | these those |
Tense (ตอนที่ 6): Past Simple
ส่วน Past Simple ก็จะใช้เป็นรูป V2 แทน เช่น I drank water, I played football. I liked football (แปลว่าเคยชอบ ตอนนี้ไม่ได้ชอบแล้ว) ดูเหมือนง่ายๆ ไม่มีอะไรใช่ม่ะค่ะ
Form: V2
การใ้ช้: สรุปง่ายๆ ก็คือใ้ช้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และจบไปในอดีต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำ หรือว่าเป็นเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นช่วงหนึ่ง ก็ได้
ตัวอย่าง
I saw a movie yesterday.
She didn't wash her car.
I lived in Brazil for two years. - ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บราซิลแล้ว
I studied French when I was a child. - ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว He played the violin. - ตอนนี้เลิกเล่นไปแล้ว
Could
1. สามารถใช้เป็นความหมายเดียวกับ can สำหรับอดีต เช่น
When I was a child I could run fast.
เราใช้ could สำหรับความสามารถทั่วๆไปในอดีต แต่ถ้าจะกล่าวถึง ความสามารถบางอย่างที่ยากๆ หรือเหตุการณ์เฉพาะ (overcoming difficulty or about doing something in a specific situation) ก็จะไม่ใช่ could แต่จะใช้ was/were able to แทนนะค่ะ เช่น
He hadn't done much revision but somehow he was able to pass the exam.
The fire spread quickly, but luckily everybody was able to escape.
2. ใช้สำหรับบอก possibility ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังคาดหวังรอคอย เพื่อนๆที่จะมาเยี่ยม แต่พวกเขามาล่าช้า คุณสามารถพูดว่า
They could arrive at any time now
Would
1. ใช้แสดง repeated action หรือ habit ในอดีต
เน้นว่า repeated action คือเป็นการกระทำหลายๆ ครั้ง หรือว่าทำจนเป็นนิสัย เช่น
The paintings would often commissioned by the wealthy, and, they would hung in the home.
ซึ่ง การใช้ในความหมายนี้สามารถ ใช้ past simple แทนได้เลย เช่นประโยคด้านบนก็สามารถใช้เป็น
The paintings were often commissioned by the wealthy, and, they were hung in the home.
I'd go out to eat or bring home a take-away.
I'd ask your mother to help me with the washing and the ironing.
I know she'd help me.
เรา จะพบเห็นการใช้ would กับแบบที่ 2 มากกว่า โดยเฉพาะใน if clause แบบที่สอง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน (อันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต) เช่น
If I had more time, I would read more books. มันเหมือนจะเป็นไปได้ ที่ฉันจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วฉันไม่มีเวลา ฉันก็เลยไม่ได้อ่านหนังสือ
If he left today, he would be there by Friday. แปลได้ว่า จริงๆ เค้าไม่ได้ไปวันนี้หรอก ซึ่งเค้าก็คงไม่น่าจะถึงจุดหมายในวันศุกร์
พอ เข้าใจ If clause แบบที่ 2 ได้มากขึ้นม่ะค่ะ เพราะถ้าเราเข้าใจ เราก็จะสามารถใช้ได้อย่างไม่ต้องจำ อย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า เรื่องของ tense มีความเกี่ยวพันกับรูปแบบประโยค โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายของประโยค ถ้าเราศึกษาและพยายามทำความเข้าใจ เราก็จะสามารถเข้าได้ความหมายที่แฝงอยู่ได้มากขึ้น (พูดเหมือนเก่ง กำลังศึกษาอยู่เหมือนกันค่ะ)
Would vs. Past Simple
อย่างที่บอกไปแล้วนะ คะ่ ว่า would สามารถแทน Past Simple สำหรับ repeated action ในอดีตได้ แล้วทีนี้มันต่างกะ Past Simple ยังไง คำตอบ ก็คือง่ายมากเลยค่ะ ถึงแม้เราจะสามารถใช้ would กับ repeated action ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าใช้ได้ักับ ทุกๆ action (ไม่สามารถใช้กับ action ที่เกิดครั้งเดียว) เช่น
This painting would be commissioned in 1856 -- wrong.
This painting was commissioned in 1856 -- right.
และนอกจากนี้ would ไม่สามารถกับ state ได้ เช่น
Would vs. Used to
จับ คู่กับอีกตัวค่ะ สำหรับคู่นี้สามารถใช้กับ repeated action ได้เช่นเดียวกัน ก็คือใช้กับ action ที่ไม่ใช่ repeated action ไม่ได้ทั้งคู่ แต่ที่ต่างกันก็คือ used to สามารถใช้กับ state ได้ แต่ would ใช้กับ state ไม่ได้
I would be a painter -- wrong
I used to be a painter -- correct
Would vs. Could
ที่ เรากล่าวไปเป็นการใช้ would กับ could ในประโยคบอกเล่า นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีการใช้ would กับ could ในประโยคคำถามในเชิงขอร้อง ซึ่งหลายคนก็สงสัยมากว่ามันต่างกันยังไง โดยสรุปที่ใช้กันในปัจจุบันแทบจะไม่ต่างกันเลย แต่โดยนัย แล้วมีความต่างกันที่ could ให้ความรู้สึกของ can คือสามารถทำได้มั้ย แต่ would จะใช้ความรู้สึกว่าเต็มใจทำมั้ย เช่น
Could you open the door for me when I get there?
ให้ความรู้สึกว่า คุณถามว่า เค้าจะทำได้มั้ย คืออีกฝ่ายอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตอนที่คุณไปถึง ก็เลยทำไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น
Would you open the door for me when I get there?
อาจจะเป็นได้ว่าเค้า อยู่ตรงนั้น และทำให้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าจะช่วยทำให้ได้มั้ย เป็นการถามความเต็มใจ ตั้งใจ ถึงได้มีประโยคที่บอกว่า I WOULD if I COULD. ก็คือฉันเต็มใจทำให้อยู่แล้วแหละ ถ้าทำได้ ซึ่งก็แสดงเป็นนัยว่า ฉันทำไม่ได้ คือ I ไม่ could ก็ไมู่้รู้จะ would ยังไง
ซึ่งหาอ่านรายละเอียดได้จาก reference ข้างท้ายที่ Would or Could
แต่ยังไงก็แล้วแต่เนื่องจากการใช้งานในปัจจุบันทำให้ ความหมายของคำลดน้อยลง และความแตกต่างของคำทั้งสองก็น้อยลงไปด้วย เรียกได้ว่าใ้ช้แทนกันก็ไม่ผิดค่ะ
Used to vs. Past Simple
เนื่องจากในภาษาไทยเราไม่มี tense เราใช้ verb ช่องเดียว ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน เราอาจจะใช้คำบางคำที่ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต เช่น ฉันเคยอ้วน แปลว่าแต่ก่อนอ้วน ทำให้คนไทยสับสนเวลามาใช้กับประโยคภาษาอังกฤษ เพราะว่า ภาษาอังกฤษไม่มีคำว่า เคย แต่เค้าจะใช้ tense ในการบอกเวลา บางคนอาจจะคิดว่า used to สามารถใช้แทนคำว่าเคยได้ แต่จริงๆ used to มีความหมายคล้ายๆ กับ past simple ซึ่ง
1. สามารถใช้แสดง state หรือสถานะ สภาวะ เช่น
I used to live in Paris.
2. ใช้เน้น repetition action คือเคยทำบ่อยๆ เป็นประจำ เช่น
I used to play football.
แปลว่า เคยเล่น (แล้วก็เล่นเป็นประจำด้วย ไม่ใช่แค่เล่นครั้งสองครั้ง) ถ้าเล่นแค่ไม่กี่ครั้งเค้าก็จะใช้ I played football once when I was young. แบบนี้เป็นต้น
ซึ่งทั้งสองประโยคที่ใช้ used to ข้างต้น สามารถแทนด้วย past simple ได้เลยค่ะ I lived in Paris, I played football ไม่ผิดอะไรค่ะ ใช้ได้เลย แต่ว่า used to ไม่สามารถใช้กับเหตุการณ์ในอดีตอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการใช้ 2 ข้อข้างต้นไม่ได้
เช่น
I saw a movie yesterday.
I studied French when I was a child.
ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึง ก็คือจะไม่มีการใช้ used to ในประโยคคำถาม หรือปฏิเสธ เช่นI not used to play football เค้าไ่ม่ใช้กันค่ะ แต่จะใช้ I did not play football.
Would have / Could have / Should have
สำหรับ would ที่ใช้กับ possibility จะหมายถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ปัจจุบัน (แต่เป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้น) ส่วน would have เป็นเุหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต (แต่ไม่ได้เกิดขึ้น) ซึ่งจะใช้ใน if clause แบบที่ 3 เช่น
If he'd taken an umbrella, he wouldn't have got wet on the way home.
และ could have กับ should have ก็ใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ could have มีความหมายแฝงในเชิงของ can คือสามารถเกิดขึ้นได้ในอดีต และ should have ก็แฝงในลักษณะของการแนะนำ
Reference:
Past Simple Tense
should and should have, would and would have, could and could have
Past habits and repeated actions - 'would'
http://www.bic-englishlearning.com/tenseA.html
Would or Could
Form: V2
การใ้ช้: สรุปง่ายๆ ก็คือใ้ช้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และจบไปในอดีต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำ หรือว่าเป็นเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นช่วงหนึ่ง ก็ได้
ตัวอย่าง
I saw a movie yesterday.
She didn't wash her car.
I lived in Brazil for two years. - ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บราซิลแล้ว
I studied French when I was a child. - ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว He played the violin. - ตอนนี้เลิกเล่นไปแล้ว
Could
1. สามารถใช้เป็นความหมายเดียวกับ can สำหรับอดีต เช่น
When I was a child I could run fast.
เราใช้ could สำหรับความสามารถทั่วๆไปในอดีต แต่ถ้าจะกล่าวถึง ความสามารถบางอย่างที่ยากๆ หรือเหตุการณ์เฉพาะ (overcoming difficulty or about doing something in a specific situation) ก็จะไม่ใช่ could แต่จะใช้ was/were able to แทนนะค่ะ เช่น
He hadn't done much revision but somehow he was able to pass the exam.
The fire spread quickly, but luckily everybody was able to escape.
2. ใช้สำหรับบอก possibility ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังคาดหวังรอคอย เพื่อนๆที่จะมาเยี่ยม แต่พวกเขามาล่าช้า คุณสามารถพูดว่า
They could arrive at any time now
Would
1. ใช้แสดง repeated action หรือ habit ในอดีต
เน้นว่า repeated action คือเป็นการกระทำหลายๆ ครั้ง หรือว่าทำจนเป็นนิสัย เช่น
The paintings would often commissioned by the wealthy, and, they would hung in the home.
ซึ่ง การใช้ในความหมายนี้สามารถ ใช้ past simple แทนได้เลย เช่นประโยคด้านบนก็สามารถใช้เป็น
The paintings were often commissioned by the wealthy, and, they were hung in the home.
และ ในความหมายนี้ ยังสามารถใช้ used to แทนได้ด้วย เป็น
The paintings used to be commissioned by the wealthy and, they used to be hung in the home.
The paintings used to be commissioned by the wealthy and, they used to be hung in the home.
2. ใช้สำหรับ possibility ได้เหมือนกับ could ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริง หรือไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่อาจจะเกิดขึ้นได้ (unreal or unlikely situation that might arise now or in the future) เช่น
I wouldn't bother to cook.I'd go out to eat or bring home a take-away.
I'd ask your mother to help me with the washing and the ironing.
I know she'd help me.
เรา จะพบเห็นการใช้ would กับแบบที่ 2 มากกว่า โดยเฉพาะใน if clause แบบที่สอง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน (อันเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต) เช่น
If I had more time, I would read more books. มันเหมือนจะเป็นไปได้ ที่ฉันจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วฉันไม่มีเวลา ฉันก็เลยไม่ได้อ่านหนังสือ
If he left today, he would be there by Friday. แปลได้ว่า จริงๆ เค้าไม่ได้ไปวันนี้หรอก ซึ่งเค้าก็คงไม่น่าจะถึงจุดหมายในวันศุกร์
พอ เข้าใจ If clause แบบที่ 2 ได้มากขึ้นม่ะค่ะ เพราะถ้าเราเข้าใจ เราก็จะสามารถใช้ได้อย่างไม่ต้องจำ อย่างที่บอกไปตอนต้นแล้วว่า เรื่องของ tense มีความเกี่ยวพันกับรูปแบบประโยค โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายของประโยค ถ้าเราศึกษาและพยายามทำความเข้าใจ เราก็จะสามารถเข้าได้ความหมายที่แฝงอยู่ได้มากขึ้น (พูดเหมือนเก่ง กำลังศึกษาอยู่เหมือนกันค่ะ)
Would vs. Past Simple
อย่างที่บอกไปแล้วนะ คะ่ ว่า would สามารถแทน Past Simple สำหรับ repeated action ในอดีตได้ แล้วทีนี้มันต่างกะ Past Simple ยังไง คำตอบ ก็คือง่ายมากเลยค่ะ ถึงแม้เราจะสามารถใช้ would กับ repeated action ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าใช้ได้ักับ ทุกๆ action (ไม่สามารถใช้กับ action ที่เกิดครั้งเดียว) เช่น
This painting was commissioned in 1856 -- right.
และนอกจากนี้ would ไม่สามารถกับ state ได้ เช่น
I would be a painter -- wrong
I was a painter -- right
Would vs. Used to
จับ คู่กับอีกตัวค่ะ สำหรับคู่นี้สามารถใช้กับ repeated action ได้เช่นเดียวกัน ก็คือใช้กับ action ที่ไม่ใช่ repeated action ไม่ได้ทั้งคู่ แต่ที่ต่างกันก็คือ used to สามารถใช้กับ state ได้ แต่ would ใช้กับ state ไม่ได้
I used to be a painter -- correct
Would vs. Could
ที่ เรากล่าวไปเป็นการใช้ would กับ could ในประโยคบอกเล่า นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีการใช้ would กับ could ในประโยคคำถามในเชิงขอร้อง ซึ่งหลายคนก็สงสัยมากว่ามันต่างกันยังไง โดยสรุปที่ใช้กันในปัจจุบันแทบจะไม่ต่างกันเลย แต่โดยนัย แล้วมีความต่างกันที่ could ให้ความรู้สึกของ can คือสามารถทำได้มั้ย แต่ would จะใช้ความรู้สึกว่าเต็มใจทำมั้ย เช่น
Could you open the door for me when I get there?
ให้ความรู้สึกว่า คุณถามว่า เค้าจะทำได้มั้ย คืออีกฝ่ายอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตอนที่คุณไปถึง ก็เลยทำไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น
Would you open the door for me when I get there?
อาจจะเป็นได้ว่าเค้า อยู่ตรงนั้น และทำให้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าจะช่วยทำให้ได้มั้ย เป็นการถามความเต็มใจ ตั้งใจ ถึงได้มีประโยคที่บอกว่า I WOULD if I COULD. ก็คือฉันเต็มใจทำให้อยู่แล้วแหละ ถ้าทำได้ ซึ่งก็แสดงเป็นนัยว่า ฉันทำไม่ได้ คือ I ไม่ could ก็ไมู่้รู้จะ would ยังไง
ซึ่งหาอ่านรายละเอียดได้จาก reference ข้างท้ายที่ Would or Could
แต่ยังไงก็แล้วแต่เนื่องจากการใช้งานในปัจจุบันทำให้ ความหมายของคำลดน้อยลง และความแตกต่างของคำทั้งสองก็น้อยลงไปด้วย เรียกได้ว่าใ้ช้แทนกันก็ไม่ผิดค่ะ
หลาย คนอาจจะคิดว่า มันไม่เกี่ยวกะเรื่อง tense แต่อาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ modal verb ก็แล้วแต่จะมองค่ะ ขอให้เข้าใจ และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องก็ถือว่าดีมากมาย
เนื่องจากในภาษาไทยเราไม่มี tense เราใช้ verb ช่องเดียว ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน เราอาจจะใช้คำบางคำที่ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต เช่น ฉันเคยอ้วน แปลว่าแต่ก่อนอ้วน ทำให้คนไทยสับสนเวลามาใช้กับประโยคภาษาอังกฤษ เพราะว่า ภาษาอังกฤษไม่มีคำว่า เคย แต่เค้าจะใช้ tense ในการบอกเวลา บางคนอาจจะคิดว่า used to สามารถใช้แทนคำว่าเคยได้ แต่จริงๆ used to มีความหมายคล้ายๆ กับ past simple ซึ่ง
1. สามารถใช้แสดง state หรือสถานะ สภาวะ เช่น
I used to live in Paris.
2. ใช้เน้น repetition action คือเคยทำบ่อยๆ เป็นประจำ เช่น
I used to play football.
แปลว่า เคยเล่น (แล้วก็เล่นเป็นประจำด้วย ไม่ใช่แค่เล่นครั้งสองครั้ง) ถ้าเล่นแค่ไม่กี่ครั้งเค้าก็จะใช้ I played football once when I was young. แบบนี้เป็นต้น
ซึ่งทั้งสองประโยคที่ใช้ used to ข้างต้น สามารถแทนด้วย past simple ได้เลยค่ะ I lived in Paris, I played football ไม่ผิดอะไรค่ะ ใช้ได้เลย แต่ว่า used to ไม่สามารถใช้กับเหตุการณ์ในอดีตอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการใช้ 2 ข้อข้างต้นไม่ได้
เช่น
I saw a movie yesterday.
I studied French when I was a child.
ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึง ก็คือจะไม่มีการใช้ used to ในประโยคคำถาม หรือปฏิเสธ เช่น
Would have / Could have / Should have
สำหรับ would ที่ใช้กับ possibility จะหมายถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ปัจจุบัน (แต่เป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้น) ส่วน would have เป็นเุหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต (แต่ไม่ได้เกิดขึ้น) ซึ่งจะใช้ใน if clause แบบที่ 3 เช่น
If he'd taken an umbrella, he wouldn't have got wet on the way home.
และ could have กับ should have ก็ใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ could have มีความหมายแฝงในเชิงของ can คือสามารถเกิดขึ้นได้ในอดีต และ should have ก็แฝงในลักษณะของการแนะนำ
Reference:
Past Simple Tense
should and should have, would and would have, could and could have
Past habits and repeated actions - 'would'
http://www.bic-englishlearning.com/tenseA.html
Would or Could
Tense (ตอนที่ 4): Present Perfect
สุดท้าย Present Perfect
Form: have, has + V3
การใช้
1. ใช้สำหรับ a past action ที่มีผลมาจนถึงปัจจุบัน
She has gone for a break - หมายความได้ว่า ตอนนี้เธอไม่อยู่ เพราะว่าเธอออกไป
2. สำหรับการกระทำในอดีต ที่ยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมันจะมี for, since, ever since (ระยะเวลาจากนั้นเป็นต้นมา), since then (จากนั้นเป็นต้นมา) ช่วยบอกระยะเวลาที่เริ่มของการกระทำ หรือ จุดของเวลาที่เริ่มการกระทำ
We have studied here for for years.
We have studied here since 1998.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline since then.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline ever since.
สองประโยคสุดท้าย มีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างของ ever since กับ since then คือ ever since จะเน้นที่ ระยะเวลา ช่วงเวลา นับแต่นั้นมา (period of time) แต่ since then จะเน้นที่ ณ.จุดเวลานั้นเป็นต้นมา (point in time)
3. a recent news หรือ recent action
การใช้ในลักษณะนี้ จะมีความใกล้เคียง past simple มาก และแม้ว่าจะใช้ past simple แทนเลย ก็ไม่น่าจะผิดนะค่ะ ในความเห็นของตัวเอง แล้วการใช้ present perfect ช่วยเน้นว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งจะเกิดขึ้น เิ่พิ่งจะจบไป ซึ่งมันจะมี adverb เช่น yet, just, already หรือ never ซึ่งใช้ในความหมายปฏิเสธ
The Prime Minister has died.
Have you finished your homework yet?
I have just finished my homework.
I have already finished my homework.
I have never been here.
ตัวอย่าง บางส่วนของ present perfect ที่อาจจะทำให้เข้าใจมากขึ้น หรือทำให้งงมากขึ้นซะก็ไม่รู้
I've lost my key - ทำกุญแจหาย และก็ยังหาไม่เจอด้วย
l lost my key - ทำกุญแจหาย แต่ตอนนี้อาจจะหาเจอแล้ว (หรือเป็นไปได้ที่หาไม่เจอเลยก็ได้)
แต่มีบางรูปแบบของ past perfect ที่ เอ่อ... ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน คือ
She has been to Japan. - หมายถึงเธอเคยไปที่ญี่ปุ่น แต่ตอนนี้เธอไมไ่ด้อยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว
They have gone to Japan. - เธอไปญี่ปุ่น และตอนนี้ก็ยังไม่กลับด้วย เธอยังอยู่ที่ญี่ปุ่น คือเหตุการณ์ัยังดำเนินอยู่
แต่ถ้าใครจะถามว่า แล้ว
She has been to Japan. กับ She went to Japan. ต่างกันไง
เอ่อ... เอ่อ... ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยความสัตย์จริง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยเห๊อะ
Form: have, has + V3
การใช้
1. ใช้สำหรับ a past action ที่มีผลมาจนถึงปัจจุบัน
She has gone for a break - หมายความได้ว่า ตอนนี้เธอไม่อยู่ เพราะว่าเธอออกไป
2. สำหรับการกระทำในอดีต ที่ยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมันจะมี for, since, ever since (ระยะเวลาจากนั้นเป็นต้นมา), since then (จากนั้นเป็นต้นมา) ช่วยบอกระยะเวลาที่เริ่มของการกระทำ หรือ จุดของเวลาที่เริ่มการกระทำ
We have studied here for for years.
We have studied here since 1998.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline since then.
The company started losing money in 2002 and has been in serious decline ever since.
สองประโยคสุดท้าย มีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างของ ever since กับ since then คือ ever since จะเน้นที่ ระยะเวลา ช่วงเวลา นับแต่นั้นมา (period of time) แต่ since then จะเน้นที่ ณ.จุดเวลานั้นเป็นต้นมา (point in time)
3. a recent news หรือ recent action
การใช้ในลักษณะนี้ จะมีความใกล้เคียง past simple มาก และแม้ว่าจะใช้ past simple แทนเลย ก็ไม่น่าจะผิดนะค่ะ ในความเห็นของตัวเอง แล้วการใช้ present perfect ช่วยเน้นว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งจะเกิดขึ้น เิ่พิ่งจะจบไป ซึ่งมันจะมี adverb เช่น yet, just, already หรือ never ซึ่งใช้ในความหมายปฏิเสธ
The Prime Minister has died.
Have you finished your homework yet?
I have just finished my homework.
I have already finished my homework.
I have never been here.
ตัวอย่าง บางส่วนของ present perfect ที่อาจจะทำให้เข้าใจมากขึ้น หรือทำให้งงมากขึ้นซะก็ไม่รู้
I've lost my key - ทำกุญแจหาย และก็ยังหาไม่เจอด้วย
l lost my key - ทำกุญแจหาย แต่ตอนนี้อาจจะหาเจอแล้ว (หรือเป็นไปได้ที่หาไม่เจอเลยก็ได้)
แต่มีบางรูปแบบของ past perfect ที่ เอ่อ... ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน คือ
She has been to Japan. - หมายถึงเธอเคยไปที่ญี่ปุ่น แต่ตอนนี้เธอไมไ่ด้อยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว
They have gone to Japan. - เธอไปญี่ปุ่น และตอนนี้ก็ยังไม่กลับด้วย เธอยังอยู่ที่ญี่ปุ่น คือเหตุการณ์ัยังดำเนินอยู่
แต่ถ้าใครจะถามว่า แล้ว
She has been to Japan. กับ She went to Japan. ต่างกันไง
เอ่อ... เอ่อ... ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยความสัตย์จริง ใครรู้ช่วยตอบหน่อยเห๊อะ
Tense (ตอนที่ 3): Present Continuous
ต่อไป Present Continuous ซึ่งจริงๆ แล้วควรจะหมายถึงการการกระทำที่กำลัง ทำอยู่ ณ.เวลาที่พูด แต่ present continuous ยังมีการใช้งานในความหมาย กึ่งๆ future ด้วย คือหมายถึง กำลังจะทำ (ตัดสินใจแน่นอนแล้ว, วางแผนแล้ว) โดยสรุป
Form: is, am, are + Ving
การใช้งาน
1. Happening now - เกินขึ้นขณะนั้น
They're watching TV.
2. Planned future arrangement - กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยได้วางแผนไว้แล้ว มีการกำหนดไว้แล้ว
Helen's studying later tonight. I'm playing football with my friends on Saturday.
Reference:
Present Form
Present continuous for future arrangement
Form: is, am, are + Ving
การใช้งาน
1. Happening now - เกินขึ้นขณะนั้น
They're watching TV.
2. Planned future arrangement - กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยได้วางแผนไว้แล้ว มีการกำหนดไว้แล้ว
Helen's studying later tonight. I'm playing football with my friends on Saturday.
Reference:
Present Form
Present continuous for future arrangement
Tense (ตอนที่ 2): Present Simple
เริ่มจาก Present Simple กันก่อน รูปแบบนี้ก็จะเป็น V1 เช่น I drink water, I play football, I likes football ง่ายมั๊กๆ
Form: V1
การใช้งาน
1. Habit ใช้สำหรับอะไรที่เราทำเป็นประจำ เป็นปกติ ทำบ่อยๆ
We give Helen the rent every month.
She sends the cheque to the landlord.
2. Fact ใช้กับอะไรที่เป็นความจริง
The sun rises in the east.
Brasilia is the capital of Brazil.
3. State ใช้กับอะไรที่เป็นสถานะ ณ.ขณะนั้น
They live in a flat together.
Alice doesn't work in a hospital.
Form: V1
การใช้งาน
1. Habit ใช้สำหรับอะไรที่เราทำเป็นประจำ เป็นปกติ ทำบ่อยๆ
We give Helen the rent every month.
She sends the cheque to the landlord.
2. Fact ใช้กับอะไรที่เป็นความจริง
The sun rises in the east.
Brasilia is the capital of Brazil.
3. State ใช้กับอะไรที่เป็นสถานะ ณ.ขณะนั้น
They live in a flat together.
Alice doesn't work in a hospital.
4. Thoughts, feelings, opinions. ซึ่งเป็น non-continuous verb จะต้องใช้เป็น simple form เท่านั้น จะไม่ใช้เป็น continuous form
ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรนะค่ะ แต่ถ้าเราดูให้ลึกลงไป เช่น Present Simple ที่ประกอบด้วย modal เพื่อใช้เสริมความหมายถึงอื่นๆ เช่น ต้องทำ, ควรทำ ก็จะต้องใช้ modal verb หรือ auxiliary verb มาช่วย ซึ่งได้แก่ can, could, may, might, shall, should, would ความหมายโดยทั่วๆไป ก็คงรู้กันอยู่แล้ว เช่น can ใช้บอกความสามารถ may, might บอกความน่าจะเป็น, shall ใช้กรณีชักชวนซึ่งมันใช้กะ we, should หมายถึงควรจะ เป็นการแนะนำ แต่โดยลึกๆ แล้ว modal verb เช่น could, would มีความหมายได้หลากหลายและใช้ได้หลากหลาย ซึ่งบางความหมายสามารถใช้หมายถึงปัจจุบัน แต่ในบางความหมายก็หมายถึงอดีต จะขอยกยอดไปเขียนใน Past Tense ทีเดียวเลยนะค่ะ
ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรนะค่ะ แต่ถ้าเราดูให้ลึกลงไป เช่น Present Simple ที่ประกอบด้วย modal เพื่อใช้เสริมความหมายถึงอื่นๆ เช่น ต้องทำ, ควรทำ ก็จะต้องใช้ modal verb หรือ auxiliary verb มาช่วย ซึ่งได้แก่ can, could, may, might, shall, should, would ความหมายโดยทั่วๆไป ก็คงรู้กันอยู่แล้ว เช่น can ใช้บอกความสามารถ may, might บอกความน่าจะเป็น, shall ใช้กรณีชักชวนซึ่งมันใช้กะ we, should หมายถึงควรจะ เป็นการแนะนำ แต่โดยลึกๆ แล้ว modal verb เช่น could, would มีความหมายได้หลากหลายและใช้ได้หลากหลาย ซึ่งบางความหมายสามารถใช้หมายถึงปัจจุบัน แต่ในบางความหมายก็หมายถึงอดีต จะขอยกยอดไปเขียนใน Past Tense ทีเดียวเลยนะค่ะ
Tense (ตอนที่ 1): Form
สำหรับตัวเองแล้ว เชื่อว่าประโยคต่างๆ ไม่ว่าจะ if clause, compound, complex sentence มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของ tense และการใช้ verb ซึ่งอาจจะเป็น auxiliary verb ก็ได้
ดังนั้นก่อนจะดูว่ามันเกี่ยวกันยังไง เรามาเรียนรู้เรื่อง tense form ต่างๆ กันก่อนนะค่ะ
ดังนั้นก่อนจะดูว่ามันเกี่ยวกันยังไง เรามาเรียนรู้เรื่อง tense form ต่างๆ กันก่อนนะค่ะ
Past | Present | Future | |
---|---|---|---|
Simple | V2 (ตอนที่6) | V1 (ตอนที่2) | V3 (ตอนที่10) |
Continuous V to be + Ving | was, were + Ving (ตอนที่7) | is, am, are + Ving (ตอนที่3) | will be + Ving (ตอนที่11) |
Perfect V to have + V3 | had + V3 (ตอนที่8) | have, has + V3 (ตอนที่4) | will have + V3 (ตอนที่12) |
Perfect Continuous V to have + been + Ving | had + been + Ving (ตอนที่9) | have, has + been+ Ving (ตอนที่5) | will have + been + Ving (ตอนที่13) |
นอกจากรูปแบบของฟอร์มในแต่ละ tense แล้ว ความรู้เรื่อง verb ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก่อนจะเข้าเนื้อหาจริงๆ ของ tense การใช้ verb กับ tense ต่าง เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจการแบ่ง verb เป็นประเภทดังนี้
Reference:
Types of Verbs
- verb ทั่วไป ซึ่งเป็น verb ที่เราสามารถเป็นอาการของการกระทำนั้นได้ เช่น eat, walk, go, say.
- non-continuous verb หรือ stative verb ก็คือ verb ที่เราไม่สามารถเห็นอาการของมันได้ ซึ่งแบ่งคร่าวๆ ได้ดังนี้
- abstract verb เช่น to be, to want, to cost, to seem, to need, to care, to contain, to owe, to exist
- possession verb (verb ที่แสดงความเป็นเจ้าของ) เช่น to possess, to own, to belong
- emotion verb (verb ที่แสดงอารมณ์) เช่น to like, to love, to hate, to dislike, to fear, to envy, to mind
- mixed verb คือเป็นกลุ่มที่สามารถใช้ continuous tense ได้ หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่ว่าความหมายจะแตกต่างกัน เช่น to appear, to feel, to have, to hear, to look, to see, to weigh
- to have
- I have a dollar. - ฉันเป็นเจ้าของเงิน 1 ดอลล่าร์
I am having fun. - ฉันรู้สึกสนุก - to hear
- She hears the music - เธอได้ยินเสียงเพลง (ผ่านหู)
She is hearing voices - เธอได้ยินเสียง (ซึ่งคนอื่นไม่ได้ยิน คือได้ยินในจิตใจของเธอเอง)
ซึ่ง verb เหล่านี้ไม่สามารถใช้กับ continuous tense ได้ เนื่องจากเป็น verb ที่เราไม่สามารถเห็นอาการของมันและบอกได้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่
Reference:
Types of Verbs
Words: Time
แบบเจาะจงเวลา
เด็กๆ เคยเรียนใช่ม่ะค่ะ today, tomorrow, yesterday. ง่ายปาย ใครๆ ก็รู้อ่ะ
แล้ว last week, last month, last year ก็ยังไม่มีอะไร อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว
เอ.. แล้ว 2 อาทิตย์ที่แล้วอ่ะ ว่าไง ... เฉลย ก็ใช้ 2 weeks ago ไง หรือ 3 days ago, 3 months ago, 5 years ago อย่าได้หลงไปใช้last 2 weeks นะ มันใช้ม่ะได้
จริงๆ แล้วเราจะใช้ 1 week ago, 1 month ago หรือ 1 year ago ก็ได้เหมือนกันนะ มีความหมายเหมือนกับ อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วเหมือนกัน
แต่ที่ไม่ค่อยเคยเห็น1 day ago มันฟังดูแมร่งๆ ชอบกลเอามากๆ เพราะว่า มันก็คือ yesterday นะเองอ่ะ ส่วน last day มีใช้เหมือนกัน แต่ไม่ได้มีความหมายว่าเืมื่อวานนี้ แต่จะมีความหมายตามคำ คือ วันสุดท้าย
ถ้าจะพูดถึงอนาคต ก็ next week, next month, next year ว่ากันไป
แล้ว อีก 2 เดือนข้างหน้าอ่ะ ก็ next 2 months แล้วก็ next 3 weeks, next 4 years
หรือจะบอกว่า สิ้นเดือนนี้ ก็ by the end of the month เช่น The new restaurant will be open by the end of the month.
เวลานี้ของปีหน้า ก็ this time next year เช่น This time next year, we'll be millionaires! (เอ่อ... อยากให้เป็นงั้นจริงๆ จังเยย)
แบบไม่เจาะจงเวลา
แบบที่เจาะจงเวลา มันก็งั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรยากเท่าไร แต่พอเราจะบอกว่า เมื่อกี้นี้, เมื่อวันก่อน..., ทุกวันนี้..., หรือ เร็วๆ นี้... เนี้ยะ นึกยากจริงๆ เพราะอาจาร์ยภาษาอังกฤษไม่เคยสอนอ่ะ ไม่รู้ทำไม ฉะนี้แล้วก็มาดูกันดีกว่า
Past
a moment ago - เมื่อกี้นี้
a short time ago - นานกว่าเมื่อกี้นี้หน่อยนึงมั้ง
the other day - เมื่อวันก่อน (ไม่รู้ว่าวันไหนเหมือนกัน)
ages and ages ago - เมื่อนานมาแล้ว
many moons ago - นานมาแล้วเหมือนกัน
เช่น
I've already heard the news. She told me a short time ago.
I went shopping the other day.
I've know about it for a very long time. She told me ages and ages ago.
Many moons ago, he told me the story of his life.
Present
for the time being - ตอนนี้, ช่วงนี้
these days - ทุกวันนี้
in this day and age - ในยุคสมัยนี้
เช่น
For the time being, I'm catching the bus to work, but I hope to get a bicycle soon.
These days I'm happy at work, but there were times in the past when I was unhappy.
In this day and age it is normal for women to be senior managers, but it wasn't always like that.
Very soon or immediately
as soon as possible
straight away
in a minute or two / in a second or two
Future
in the not too distant future เช่น I'll be seeing my sister in the not too distant future.
References:
Time expressions
เด็กๆ เคยเรียนใช่ม่ะค่ะ today, tomorrow, yesterday. ง่ายปาย ใครๆ ก็รู้อ่ะ
แล้ว last week, last month, last year ก็ยังไม่มีอะไร อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว
เอ.. แล้ว 2 อาทิตย์ที่แล้วอ่ะ ว่าไง ... เฉลย ก็ใช้ 2 weeks ago ไง หรือ 3 days ago, 3 months ago, 5 years ago อย่าได้หลงไปใช้
จริงๆ แล้วเราจะใช้ 1 week ago, 1 month ago หรือ 1 year ago ก็ได้เหมือนกันนะ มีความหมายเหมือนกับ อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วเหมือนกัน
แต่ที่ไม่ค่อยเคยเห็น
ถ้าจะพูดถึงอนาคต ก็ next week, next month, next year ว่ากันไป
แล้ว อีก 2 เดือนข้างหน้าอ่ะ ก็ next 2 months แล้วก็ next 3 weeks, next 4 years
หรือจะบอกว่า สิ้นเดือนนี้ ก็ by the end of the month เช่น The new restaurant will be open by the end of the month.
เวลานี้ของปีหน้า ก็ this time next year เช่น This time next year, we'll be millionaires! (เอ่อ... อยากให้เป็นงั้นจริงๆ จังเยย)
แบบไม่เจาะจงเวลา
แบบที่เจาะจงเวลา มันก็งั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรยากเท่าไร แต่พอเราจะบอกว่า เมื่อกี้นี้, เมื่อวันก่อน..., ทุกวันนี้..., หรือ เร็วๆ นี้... เนี้ยะ นึกยากจริงๆ เพราะอาจาร์ยภาษาอังกฤษไม่เคยสอนอ่ะ ไม่รู้ทำไม ฉะนี้แล้วก็มาดูกันดีกว่า
Past
a moment ago - เมื่อกี้นี้
a short time ago - นานกว่าเมื่อกี้นี้หน่อยนึงมั้ง
the other day - เมื่อวันก่อน (ไม่รู้ว่าวันไหนเหมือนกัน)
ages and ages ago - เมื่อนานมาแล้ว
many moons ago - นานมาแล้วเหมือนกัน
เช่น
I've already heard the news. She told me a short time ago.
I went shopping the other day.
I've know about it for a very long time. She told me ages and ages ago.
Many moons ago, he told me the story of his life.
Present
for the time being - ตอนนี้, ช่วงนี้
these days - ทุกวันนี้
in this day and age - ในยุคสมัยนี้
เช่น
For the time being, I'm catching the bus to work, but I hope to get a bicycle soon.
These days I'm happy at work, but there were times in the past when I was unhappy.
In this day and age it is normal for women to be senior managers, but it wasn't always like that.
Very soon or immediately
as soon as possible
straight away
in a minute or two / in a second or two
Future
in the not too distant future เช่น I'll be seeing my sister in the not too distant future.
References:
Time expressions
Verb: Linking verbs
เรารู้ๆ กันอยู่นะค่ะว่า ปกติแล้ว ถ้าเราจะใช้ adjective จะต้องใชักับ Verb to be เพราะว่า adjective ขนายนาม ก็ต้องใช้กับ เป็น อยู่ คือ เช่น She is beautiful
แต่มี verb บางประเภทที่สามารถใช้แทน Verb to be ในกรณีนี้ได้ คือสามารถตามด้วย adjective ซึ่ง verb พวกนี้ก็คือ linking verb หรือ copula ซึ่งแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้
Verbs of perception: seem, appear
Verbs of sense: look, feel, taste, smell, sound
Change-of-state verbs: become, grow, get, go, turn
verb พวกนี้แหละที่สามารถจะตามได้ adjective ไำด้ เช่น
Your plan seems realistic.
He appears older than he really is.
The blue dress looks better.
The sun got hotter and hotter.
His face went white with shock.
แต่ทั้งนี้ทั้นนั้นก็ไม่ได้แปลว่า linking verb หรือ copula เหล่านี้จะตามด้วย adverb เหมือนปกติไม่ได้นะค่ะ ก็ยังสามารถใช้เหมือน verb ทั่วไปได้เช่นเดิม เช่น
She looks angrily at her husband. - เธอมองสามีอย่างโกรธๆ angrily ขยาย looks
She looks angry. - เธอโกรธ เหมือนกับ she is angry แปลเหมือนกันค่ะ แต่ angry ขยาย she.
ได้ทั้งสองค่ะ ถูกหลักไวยกรณ์ อ่านเข้าใจ แต่ความหมายต่างกัน ลองดูอีกสักตัวอย่างนะค่ะ
The cake tasted beautiful. - เค้กอร่อย beautiful ขยาย cake
She quickly tasted the cake. - เธอชิมเค้กอย่างรวดเร็ว quickly ขยาย taste
พอเข้าใจกันนะค่ะ
Reference:
Verbs which take adjectives - look, feel, seem, sound
แต่มี verb บางประเภทที่สามารถใช้แทน Verb to be ในกรณีนี้ได้ คือสามารถตามด้วย adjective ซึ่ง verb พวกนี้ก็คือ linking verb หรือ copula ซึ่งแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้
Verbs of perception: seem, appear
Verbs of sense: look, feel, taste, smell, sound
Change-of-state verbs: become, grow, get, go, turn
verb พวกนี้แหละที่สามารถจะตามได้ adjective ไำด้ เช่น
Your plan seems realistic.
He appears older than he really is.
The blue dress looks better.
The sun got hotter and hotter.
His face went white with shock.
แต่ทั้งนี้ทั้นนั้นก็ไม่ได้แปลว่า linking verb หรือ copula เหล่านี้จะตามด้วย adverb เหมือนปกติไม่ได้นะค่ะ ก็ยังสามารถใช้เหมือน verb ทั่วไปได้เช่นเดิม เช่น
She looks angrily at her husband. - เธอมองสามีอย่างโกรธๆ angrily ขยาย looks
She looks angry. - เธอโกรธ เหมือนกับ she is angry แปลเหมือนกันค่ะ แต่ angry ขยาย she.
ได้ทั้งสองค่ะ ถูกหลักไวยกรณ์ อ่านเข้าใจ แต่ความหมายต่างกัน ลองดูอีกสักตัวอย่างนะค่ะ
The cake tasted beautiful. - เค้กอร่อย beautiful ขยาย cake
She quickly tasted the cake. - เธอชิมเค้กอย่างรวดเร็ว quickly ขยาย taste
พอเข้าใจกันนะค่ะ
Reference:
Verbs which take adjectives - look, feel, seem, sound
Subscribe to:
Posts (Atom)