Tense (ตอนที่ 10): Future Simple

Form: will + V1

การใช้
1. ใช้ในการแสดงการอาสา

เช่น
I will send you the information when I get it.
I will not do your homework for you.

2. ใช้แสดงความตั้งใจ หรือสัญญา

เช่น
I will call you when I arrive.
I won't tell anyone your secret.

3. ใช้ทำนายเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

เช่น
John Smith will be the next President.

สิ่งสำคัญก็คือ เราจะไม่ใช้ Future tense กับ clause ที่แสดงถึงเวลา เช่น clause ที่เริ่มด้วยคำประเภทนี้่
when, while, before, after, by the time, as soon as, if, unless

เช่น
When you will arrive tonight, we will go out for dinner. - ผิดฮับ ไม่ใช้กัน
When you arrive tonight, we will go out for dinner. - เราจะใช้ Present tense แทน

อีกตัวอย่างที่เราจะเห็นได้ชัดก็คือ if clause แบบที่ 1 ที่เราใช้เป็น
If he come, I will go - ซึ่งจริงๆ แล้ว he ยังมาไม่ถึง ซึ่งมีความหมายถึงในอนาคต ถ้าเค้ามาแล้ว ฉันก็จะไป

ซึ่งไม่ใช่แค่ Future Simple เท่านั้น กฎนี้สามารถใช้กับ Future Tense อื่นๆ ด้วย โดยเราจะใช้ Present tense แทน เช่น
Future Simple จะใช้ Present Simple
Future Continuous จะใช้ Present Continuous
Future Perfect จะใช้ Present Prefect

ดังนั้น เมื่อเห็น clause เหล่านี้ ถึงแ้ม้จะเป็น Present tense ก็ตาม แต่จริงๆ แล้วมันมีความหมายเป็น future ฮับ

Will vs. Be going to
แม้ว่า be going to ดูจะเหมือน Present Continuous แต่จริงๆ แล้วมันใช้ในความหมายของ future มากกว่า โดยเฉพาะในการใช้สำหรับการคาดการณ์ในอนาคต

เช่น ตัวอย่างในข้อ 3
John Smith will be the next President.
John Smith is going to be the next President.
- สามารถใช้ได้เหมือนกัน และให้ความหมายเหมือนกัน

แต่ก็มีข้อแตกต่างระหว่างการใช้ will กับ be going to สำหรับในกรณีที่เราพูดถึงสิ่งที่เราได้ตัดสินใจไปแล้ว (หรือวางแผนในแล้ว) ในอดีต และเป็นผลให้เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเราจะใช้ be going to แต่ไม่ใช้ will

เช่น
I'm going to go to US next month - นั้นหมายถึง เราได้ตัดสินใจ(ในอดีต)ไปแล้ว (อาจจะมีการจองตั๋วเครื่องบิน หรืออะไรไปก่อนหน้านี้แล้ว และเราจะไปแน่ๆ) และกำลังจะเดินทางเดือนหน้า

Reference:
Simple Future

Tense (ตอนที่ 5): Present Perfect Continuous

Form: has, have + been + Ving

การใช้
ใช้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินอยู่ช่วงหนึ่งในอดีต หรือเหตุการณ์ที่เพิ่งจะจบไป

Present Perfect Continuous vs. Present Perfect
2 tense นี้ใกล้เคียงกันมาก สิ่งที่ทำให้บางครั้งเราใช้ continuous หรือบางครั้งไม่ใช่ continuous (ด้วยความเข้าใจของตัวเอง) ขึ้นอยู่กับ verb ที่ใช้ และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นๆ ที่บอกว่าขึ้นกับ verb ก็คือ verb ที่อยู่ในกลุ่ม non-continuous verb จะไม่สามารถใช้เป็น Present Perfect Continuous ได้จะต้องใช้เป็น Present Perfect เท่านั้น ซึ่งจะสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย เพราะว่า verb ที่แสดงเป็น continuous คือการแสดงอาการนั้นๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ continuous ในการบอกว่ามีการดำเนินไปของการกระทำ

อาจจะฟังดูแล้ว งงๆ จะลองสรุปง่ายๆ ดังนี้
  1. สำหรับ verb ทั่วไป ที่มีสามารถแสดงอาการนั้นๆ ได้ หรือเป็น Type แรก จะใช้ Persent Perfect Continuous เสมอ
  2. non-continuous verb ก็ใช้ Present Perfect
  3. ส่วนพวก mixed verb เราจะต้องดูความหมาย ถ้าเราต้องการจะใช้ในความหมายของ continuous ก็ต้องใช้ Present Perfect Continuous ถ้าไม่ใช้ก็ต้องเป็น Present Perfect
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูความหมายด้วย เช่น
He has walked by us at least twenty times - แม้ว่าจะเป็น walk แต่ในที่นี้ คือ walk by (เดินผ่านเราไปมา) ซึ่งในความหมายนี้ จะไม่ใช้เป็น continuous

และวิธีนี้ยังสามารถใช้กับ Perfect Tense และ Perfect Continuous Tense อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Past Perfect กับ Past Perfect Continuous หรือ Future Perfect กับ Future Perfect Continuous ได้ด้วย

Reference:
Present Perfect Continuous

Roast, Grill, Bake, Broil

สับสนอ่ะค่ะ ว่าทั้ง 4 คำ เหมือนจะมีความหมายคล้ายกันมาก จนไม่รู้ว่าจะใช้ roasted fish, grilled fish กันแน่ ก็เลยลองไปหาดู ก็ได้ความดังนี้ (เชื่อได้ เชื่อไม่ได้ ก็ลองอ่านดูนะค่ะ)

Roast กับ Bake
เค้าบอกว่า 2 คำนี้คล้ายกัน เป็นการทำอาหารแบบให้ความร้อนทั่วทุกส่วน ด้วย dry, hot air ซึ่งอาจจะเป็นในเตาอบ ด้วยความร้อนประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮน์ แต่ไม่ใช่ให้ความร้อนตรงๆ ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้กับเนื้อชิ้นใหญ่ๆ หรือว่าไก่ทั้งตัว
ความแตกต่างของ roast กับ bake ก็คือ roast จะให้ความร้อนที่สูงกว่า ทำให้สุกเร็วกว่า ซึ่งมักจะใช้กับพวกเนื้อ ไก่ เป็ด แต่ bake มักจะใช้กับพวกปลา หรือขนมอบ พวกพาย ขนมปัง

Grill กับ Broil
อันนี้ก็คล้ายกัน แต่ต่างกับ roast และ grill ตรงที่เป็นการให้ความร้อนแบบ direct กว่า อาจจะเป็นการย่างบนกระทะร้อน ซึ่งโดยปกติจะต้องมีการกลับข้าง 1 หน เพื่อให้อาหารสุกทั้งสองด้าน ซึ่งการย่างแบบนี้จะทำให้เกิดเป็นลายไหม้บนเนื้อ หรืออาหารที่นำไปย่าง ซึ่งมักจะใช้กับพวกอาหารทะเล หรือเนื้อที่ตัดมาแล้วเป็นชิ้นๆ
ส่วนความต่างของ grill กับ broil ก็ต่างกันที่ grill จะให้ความร้อนจากด้านล่าง ส่วน broil จะให้ความร้อนจากด้านบน

เอวัง เขียนเสร็จก็อยากกินสเต็ก เหอะๆ


Reference:
Dry-Heat Cooking Methods