ของใช้ในครัว ในภาษาอังกฤษ

bowl - ชาม
plate, disk - จาน
saucer - จานรองแก้ว
cup - ถ้วย
glass - แก้วน้ำ
mug - ถ้วยขนาดใหญ่
jug (BrE) - เหยือกน้ำ
pitcher (AmE) - เหยือกน้ำ (มีความหมายถึงผู้ขว้างในเกมส์เบสบอลด้วย)
spoon - ช้อน
fork - ส้อม
chopsticks - ตะเกียบ (เป็นคู่)
knife - มีด

napkin - ผ้าเช็ดปาก
bib - ผ้ากันเปื้อนที่ผูกคอเด็ก
table cloth - ผ้าปูโต๊ะ

funnel - กรวย
sieve - กระชอน, ตะแกรงล่อน
pan - กระทะแบน
saucepan (BrE) - กระทะที่มีก้นลึกมีด้านเดียว
pot (AmE) - หม้อ (ใ้ช้หมายถึง saucepan ได้)
ladle - ทัพพีตักแกง
rice ladle - ทัพพีตักข้าว
flipper - ตะหลิว
spatula - ไม้พาย
scoop - ที่ตักหรือตวง เช่นที่ตักไอศครีม
chopping board - เขียง

stove - เตาไฟ
oven - เตาอบ
toaster - เครื่องปิ้งขนมปัง
blender - เครื่องปั่น
refrigerator - ตู้เย็น


เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ในภาษาอังกฤษ

เสื้อผ้า หลายคำเรียกไม่เหมือนกันสำหรับ อเมริกา กับอังกฤษ
shirt - เสื้อเชิ้ต
t-shirt - เสื้อยืด
blouse - เสื้อผู้หญิง
dress - ชุดกระโปรง
jumper (BrE) - เสื้อถักที่เป็นแบบสวมหัว (pull-over)
jumper (AmE) - เสื้อเอี๊ยม เสื้อที่ติดกับกางเกงหรือกระโปรง ที่ไม่มีแขน
pinafore (BrE) - จะตรงกับ jumper (AmE)
cardigan - เสื้อถักที่มีกระดุมด้านหน้า คอวี ไว้ใส่ทับเสื้อเชิ้ต หรือเสื้อผู้หญิง
sweater (AmE) - ใช้หมายถึงได้ทั้ง jumper (BrE) และ cardigan
vest (BrE) - เสื้อกล้าม
vest (AmE), sweater vest - เสื้อกั๊ก
waistcoat (BrE) - เสื้อกั๊ก
pajamas - ชุดนอน

trousers (BrE) - กางเกงขายาว
pants (AmE) - กางเกงขายาว
pants (BrE) - กางเกงในผู้ชาย
underpants (AmE) - กางเกงในผู้ชาย
knickers (BrE) - กางเกงในผู้หญิง
panties (AmE) - กางเกงในผู้หญิง
shorts - กางเกงขาสั้น
skirt - กระโปรง

socks - ถุงเท้า
sandals - รองเท้่าแตะ
slippers - รองเท้าใส่อยู่บ้าน
sneakers - รองเท้าผ้าใบ
high-heel shoes - รองเท้าส้นสูง

hat - หมวก
cap - หมวกแก๊ป
bag - กระเป๋า
backpack - กระเป๋าเป้
handbag - กระเป๋าสะพายของผู้หญิง
purse (AmE) - กระเป๋าสะพายของผู้หญิง
wallet - กระเป๋าตังค์

เครื่องประดับบ้าง
belt - เข็มขัด
buckle - หัวเข็มขัด
hairpin - ปิ่นปักผม, กิ๊ปติดผม
hair band - ยางรัดผม, ที่คาดผม
bangle - กำไล
bracelet - สร้อยข้อมือ
necklace - สร้อยคอ
earrings - ต่างหู


แถมท้ายส่วนต่างประของเสื้อ
collar - ปกเสื้อ (white collar - หมายถึงชนชั้นที่ทำงานในออฟฟิจ, blue collar - หมายถึงชนชั้น technician ซึ่งทำงานในโรงงาน)
sleeve - แขนเสื้อ
pocket - กระเป๋าเสื้อ

Referrence:

Online Dictionary

เดี๋ยวนี้มี online dictionary มากมายเลยค่ะ แล้วก็ดีๆ หลายที่ด้วยกันทั้งไทย ทั้งอังกฤษ

ไทย
- Lexitron - สำหรับ dictionary ไทย-อังกฤษ หรือ อังกฤษ-ไทย
- พจนานุกรม Longdo - พิมพ์ที่เดียวได้ทั้งคำแปลไทย, อังกฤษ จากหลายๆ แหล่ง
- LightLex - ถ้าต้องการหาคำเกี่ยวข้อง คำตรงข้าม คำที่ความหมายเดียวกัน ที่นี่น่าจะเหมาะที่สุด

อังกฤษ
- Oxford Advanced Learner's Dictionary - talking dictionary อังกฤษ-อังกฤษ จากฝั่งอังกฤษค่ะ
- Cambridge Advanced Learner's Dictionary - talking dictionary อังกฤษ-อังกฤษ จากฝั่งอเมริกาค่ะ
- Longman Dictionary - talking dictionary อังกฤษ-อังกฤษ อีกเล่มที่ฮิตกันในเมืองไทย นอกจากมีเีสียง pronunciation ของคำแล้ว ยังมีเสียงของประโยคตัวอย่างด้วย
- Visuwords - graphical dictionary ค่ะ สำหรับหาคำที่เกี่ยวข้อง interface งามประทับใจค่ะ

hurt, pain, ache, sick, ill

pain, ache ส่วนใหญ่จะใช้เป็น noun
pain จะใช้กับความเ็จ็บปวดที่รุนแรงเช่น

Yesterday I suddenly felt a lot of pain in my stomach. I was taken to hospital where they discovered I had appendicitis.

ในขณะที่ ache ใช้กับความเจ็บปวดทั่วไปที่ไม่รุนแรง แต่ยาวนานกว่า เช่น headache, stomach ache

sick, ill จะใช้เป็น adjective ส่วนใหญ่
สำหรับ British English การใช้ sick หมายถึงความรู้สึกอยากอาเจียน เช่น

I think I’m going to be sick.

หรือบางครั้งหมายถึงอาเจียน (ที่เป็น noun) เลยก็ได้

If you have children, you can be sure that you will have to clear up some sick at least once during their childhood.

หรือ ใช้เฉพาะกับวลีบางอย่างเช่น

I’ve been off sick for ten days

แต่ ill จะหมายถึงการเจ็บป่วยทั่วไป

ส่วน hurt ส่วนใหญ่จะใช้เป็น adjective หรือ verb แต่จะหมายถึงความเจ็บป่วยเนื่องจากสาเหตุจากภายนอก ไม่ได้หมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ เช่น

Be careful on that ladder, you might hurt yourself if you fall

และแม้ว่า hurt จะสามารถใช้เป็น noun ได้ แต่ก็จะใช้กับอารมณ์ ความรู้สึก ไม่ได้ใช้กับความเจ็บป่วยทางร่างกาย

When he told her he wanted a divorce she could hear a lot of hurt in his voice.

Reference:
Pain/ach/ill/sick/hurt

Tense (ตอนที่ 10): Future Simple

Form: will + V1

การใช้
1. ใช้ในการแสดงการอาสา

เช่น
I will send you the information when I get it.
I will not do your homework for you.

2. ใช้แสดงความตั้งใจ หรือสัญญา

เช่น
I will call you when I arrive.
I won't tell anyone your secret.

3. ใช้ทำนายเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

เช่น
John Smith will be the next President.

สิ่งสำคัญก็คือ เราจะไม่ใช้ Future tense กับ clause ที่แสดงถึงเวลา เช่น clause ที่เริ่มด้วยคำประเภทนี้่
when, while, before, after, by the time, as soon as, if, unless

เช่น
When you will arrive tonight, we will go out for dinner. - ผิดฮับ ไม่ใช้กัน
When you arrive tonight, we will go out for dinner. - เราจะใช้ Present tense แทน

อีกตัวอย่างที่เราจะเห็นได้ชัดก็คือ if clause แบบที่ 1 ที่เราใช้เป็น
If he come, I will go - ซึ่งจริงๆ แล้ว he ยังมาไม่ถึง ซึ่งมีความหมายถึงในอนาคต ถ้าเค้ามาแล้ว ฉันก็จะไป

ซึ่งไม่ใช่แค่ Future Simple เท่านั้น กฎนี้สามารถใช้กับ Future Tense อื่นๆ ด้วย โดยเราจะใช้ Present tense แทน เช่น
Future Simple จะใช้ Present Simple
Future Continuous จะใช้ Present Continuous
Future Perfect จะใช้ Present Prefect

ดังนั้น เมื่อเห็น clause เหล่านี้ ถึงแ้ม้จะเป็น Present tense ก็ตาม แต่จริงๆ แล้วมันมีความหมายเป็น future ฮับ

Will vs. Be going to
แม้ว่า be going to ดูจะเหมือน Present Continuous แต่จริงๆ แล้วมันใช้ในความหมายของ future มากกว่า โดยเฉพาะในการใช้สำหรับการคาดการณ์ในอนาคต

เช่น ตัวอย่างในข้อ 3
John Smith will be the next President.
John Smith is going to be the next President.
- สามารถใช้ได้เหมือนกัน และให้ความหมายเหมือนกัน

แต่ก็มีข้อแตกต่างระหว่างการใช้ will กับ be going to สำหรับในกรณีที่เราพูดถึงสิ่งที่เราได้ตัดสินใจไปแล้ว (หรือวางแผนในแล้ว) ในอดีต และเป็นผลให้เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเราจะใช้ be going to แต่ไม่ใช้ will

เช่น
I'm going to go to US next month - นั้นหมายถึง เราได้ตัดสินใจ(ในอดีต)ไปแล้ว (อาจจะมีการจองตั๋วเครื่องบิน หรืออะไรไปก่อนหน้านี้แล้ว และเราจะไปแน่ๆ) และกำลังจะเดินทางเดือนหน้า

Reference:
Simple Future

Tense (ตอนที่ 5): Present Perfect Continuous

Form: has, have + been + Ving

การใช้
ใช้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินอยู่ช่วงหนึ่งในอดีต หรือเหตุการณ์ที่เพิ่งจะจบไป

Present Perfect Continuous vs. Present Perfect
2 tense นี้ใกล้เคียงกันมาก สิ่งที่ทำให้บางครั้งเราใช้ continuous หรือบางครั้งไม่ใช่ continuous (ด้วยความเข้าใจของตัวเอง) ขึ้นอยู่กับ verb ที่ใช้ และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นๆ ที่บอกว่าขึ้นกับ verb ก็คือ verb ที่อยู่ในกลุ่ม non-continuous verb จะไม่สามารถใช้เป็น Present Perfect Continuous ได้จะต้องใช้เป็น Present Perfect เท่านั้น ซึ่งจะสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย เพราะว่า verb ที่แสดงเป็น continuous คือการแสดงอาการนั้นๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ continuous ในการบอกว่ามีการดำเนินไปของการกระทำ

อาจจะฟังดูแล้ว งงๆ จะลองสรุปง่ายๆ ดังนี้
  1. สำหรับ verb ทั่วไป ที่มีสามารถแสดงอาการนั้นๆ ได้ หรือเป็น Type แรก จะใช้ Persent Perfect Continuous เสมอ
  2. non-continuous verb ก็ใช้ Present Perfect
  3. ส่วนพวก mixed verb เราจะต้องดูความหมาย ถ้าเราต้องการจะใช้ในความหมายของ continuous ก็ต้องใช้ Present Perfect Continuous ถ้าไม่ใช้ก็ต้องเป็น Present Perfect
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูความหมายด้วย เช่น
He has walked by us at least twenty times - แม้ว่าจะเป็น walk แต่ในที่นี้ คือ walk by (เดินผ่านเราไปมา) ซึ่งในความหมายนี้ จะไม่ใช้เป็น continuous

และวิธีนี้ยังสามารถใช้กับ Perfect Tense และ Perfect Continuous Tense อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Past Perfect กับ Past Perfect Continuous หรือ Future Perfect กับ Future Perfect Continuous ได้ด้วย

Reference:
Present Perfect Continuous

Roast, Grill, Bake, Broil

สับสนอ่ะค่ะ ว่าทั้ง 4 คำ เหมือนจะมีความหมายคล้ายกันมาก จนไม่รู้ว่าจะใช้ roasted fish, grilled fish กันแน่ ก็เลยลองไปหาดู ก็ได้ความดังนี้ (เชื่อได้ เชื่อไม่ได้ ก็ลองอ่านดูนะค่ะ)

Roast กับ Bake
เค้าบอกว่า 2 คำนี้คล้ายกัน เป็นการทำอาหารแบบให้ความร้อนทั่วทุกส่วน ด้วย dry, hot air ซึ่งอาจจะเป็นในเตาอบ ด้วยความร้อนประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮน์ แต่ไม่ใช่ให้ความร้อนตรงๆ ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้กับเนื้อชิ้นใหญ่ๆ หรือว่าไก่ทั้งตัว
ความแตกต่างของ roast กับ bake ก็คือ roast จะให้ความร้อนที่สูงกว่า ทำให้สุกเร็วกว่า ซึ่งมักจะใช้กับพวกเนื้อ ไก่ เป็ด แต่ bake มักจะใช้กับพวกปลา หรือขนมอบ พวกพาย ขนมปัง

Grill กับ Broil
อันนี้ก็คล้ายกัน แต่ต่างกับ roast และ grill ตรงที่เป็นการให้ความร้อนแบบ direct กว่า อาจจะเป็นการย่างบนกระทะร้อน ซึ่งโดยปกติจะต้องมีการกลับข้าง 1 หน เพื่อให้อาหารสุกทั้งสองด้าน ซึ่งการย่างแบบนี้จะทำให้เกิดเป็นลายไหม้บนเนื้อ หรืออาหารที่นำไปย่าง ซึ่งมักจะใช้กับพวกอาหารทะเล หรือเนื้อที่ตัดมาแล้วเป็นชิ้นๆ
ส่วนความต่างของ grill กับ broil ก็ต่างกันที่ grill จะให้ความร้อนจากด้านล่าง ส่วน broil จะให้ความร้อนจากด้านบน

เอวัง เขียนเสร็จก็อยากกินสเต็ก เหอะๆ


Reference:
Dry-Heat Cooking Methods